ทีปังกรมีพระชนมายุครบ 18 พรรษา ราชวงศ์เตรียมจัดพิธีขึ้นครองราชย์เป็นรัชทายาทขึ้นเป็นรัชกาลที่ 11

ตลาด2548พุทธศักราช2566เจ้าฟ้าที่ปังกรมีพระชนมายุ18พรรษานี่อาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่11แต่ทั้งหมดนี้จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ ในหลวงรัชกาลที่10แต่ตอนนี้รัชกาลที่10นี้ติดอยู่จุดเดียวทีปังกรรัศมีโชติที่ต้องการเป็นรัชกาลที่11ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์จะต้องกลับคืนสู่ราชวงศ์หรือรัชกาลที่10จะถูกบังคับให้แก้ไขระเบียบว่าด้วยสมเด็จพระ บรมโอรสาธิราชยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องนี้แต่ความเป็นไปได้ที่ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์จะกลับคืนสู่ราชวงศ์ไทยมีสูงกว่านั้นเพราะรัชกาลที่10จะทรงพบว่าเป็นการยากที่จะแก้ไขพระราชกฤษฎีกาหากทำเช่นนั้นจะต้องเผชิญกับการต่อต้านจากราชวงศ์ไทยตระกูลอองคมนตรีแหล่งข่าว ใกล้ชิดราชวงศ์ระบุพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทของรัชกาลที่10สำนักพระราชวังจะประกาศคำตัดสินของรัชกาลที่10ในเร็วๆนี้เมื่อ ทุกอย่างเรียบร้อยคำถามใหญ่ข้อเดียวในตอนนี้คือท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์จะได้รับอนุญาตให้กลับคืนสู่ราชวงศ์อีกครั้งหรือไม่การกลับคืนสู่ราชวงศ์จะทำให้การขึ้นครองราชย์ของทีปังกรรัศมีโชติเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชพร้อมกับพิธีอุปสมบทที่ยิ่งใหญ่และสัมผัสกับท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์คนไทยและคนทั้งโลกต่างเฝ้าดูทุกย่างก้าวของพระบรมวงศานุวงศ์ของรัชกาลที่10การตัดสินใจของรัชกาลที่10ทำให้ทุกคนแปลกใจและแปลกใจเสมอหวังว่าท่านผู้หญิงศรีรัชจะ กลับคืนสู่ราชวงศ์และพระองค์เจ้าที่ปังกรรัศมีโชติจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อจากราชการที่11คงจะยุติธรรมและสมควรแล้วที่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นและกำลังได้รับการรอคอยจากคนที่รักราชวงศ์มากมาย

ทีปังกรมีพระชนมายุครบ 18 พรรษา ราชวงศ์เตรียมจัดพิธีขึ้นครองราชย์เป็นรัชทายาทขึ้นเป็นรัชกาลที่ 11 Read More

ในหลวง ร.10 ทรงศรัทธาเจ้าฟ้าทีปังกร รับเสด็จ ศรีรัศมิ์ สุวะดี กลับตามพระราชประสงค์

อันนี้มาจากจังหวัดพิจิตร แล้วชื่ออะไรครับ ข้าราชการครู ค่ะ ที่กำลังล่มสลายโดยหลวง วิจิตรวาทการ ซึ่งได้เขียนถึงความแตกต่างของชนชาติที่ มีวัฒนธรรมและความเจริญงอกงามและชาติที่ กำลังเสื่อมโทรมดังนี้ เขื่อนนิสัยของชนชาติที่มีวัฒนธรรมมี 4 ประการคือ 1 มีนิสัยก่อสร้าง 2 มีนิสัยรักความปราณี 3 มีนิสัยงอกงามและ 4 มีนิสัยต่อสู้ตรง กันข้ามกับนิสัยของชนชาติที่ไม่มี วัฒนธรรมหรือชาติที่กำลังเสื่อมโทรมและ ชาตินั้นใกล้ถึงความพินาศล่มจมเราจะเห็น ในนิสัยต่อไปนี้ที่ปรากฏชัดคือ 1 นิสัยทำลายเผาชอบความรุนแรง 2 นิสัย อยากหรือสุขเอาเผากินหยาบทั้งคำพูด กระด้างทั้งหัวใจ …

ในหลวง ร.10 ทรงศรัทธาเจ้าฟ้าทีปังกร รับเสด็จ ศรีรัศมิ์ สุวะดี กลับตามพระราชประสงค์ Read More

ทีปังกร รัศมีโชติ เสด็จกลับประเทศไทยกะทันหันเพื่อต้อนรับท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์กลับสู่ราชวงศ์ ?

เวลา9:55นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติมหาวชิโรตมางกูรสิริวบราชกุมารเสด็จไปยังวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามในการนี้ทรงวางพวงมาลัยและ2จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจากนั้นเสด็จเข้าพระอุโบสถทรงวางพวงมาลัยทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธอังคีรสพระประธานพระอุโบสถแล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมราชรีรางพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้า อยู่หัวพระราชสดรีรางคารสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินีในรัชกาลที่7และพระบรมราชชนังคานพระบาทสมเด็จพระบรมนาถมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชพระบรมนาถบพิตรแล้วทรงพระดำเนินไปยังตามหลักอรุณทรงถวา ยธูปเทียนแพแด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริตรสาครสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายกถวายศีลจบแล้วทรงกล่าวคำถวายเครื่องสังฆทานส่งประเคนครึ่งสังฆทานโอกาสนี้ถวายการสอนทรงสมาธิการวางสัมผัสและการกำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมส่งสนทนา ธรรมทรงสอบถามถึงพระพลานามัยของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกและทรงสดับพระโอวาทที่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกทรงรับพระราชทานถวายวิสัชนาทรงสนองพระบูชาในเรื่องทรงส่วนพระทัย เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาอาทิคำว่าวิชาและอวิชชาต่างกันอย่างไรซึ่งสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกได้ถวายวิสัชนาคำว่าวิชาหมายถึงความรู้ส่วนอวิชชาหมายถึงความไม่รู้ในทางพระพุทธศาสนาจึงหมายถึงความไม่รู้เหตุของการ ดับทุกข์และไม่รู้จักการดับทุกข์คือไม่รู้เหตุที่ทำให้เกิด

ทีปังกร รัศมีโชติ เสด็จกลับประเทศไทยกะทันหันเพื่อต้อนรับท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์กลับสู่ราชวงศ์ ? Read More

ด่วนมาก! แถลงการณ์ฯ ฉบับที่ 4 พระองค์ภา เจ้าฟ้าหญิง คนไทยสะอื้นทั้งแผ่นดิน พระอาการยังทรง …

ท่านผู้ฟังครับด่วนล่าสุดที่คนไทยเฝ้ารอคอยคอยเจ้าหญิงของคนไทยฝาดที่มืดครึ้มเงียบงันไปนานกลับมามีความสว่างไสวอีกครั้งเมื่อมีแถลงการณ์จากสำนักพระราชวังซึ่งเป็นแถลงการณ์ฉบับที่4เกี่ยวกับพระอาการประชวนของสมเด็จพระเจ้าลุ่งเธอเจ้าฝ่าพัชรกิตติยาภานธิราเทพยวดีกรมหลวงราชสารินีสิริพัฒน์มหาวชรราชธิดาจากวันนั้นมาถึงวันนี้ก็นับว่าเป็นเวลายาวนานนานมากๆที่ประชาชนชาวไทยตามเฝ้ารอคอยคอยข่าวคราวความคืบหน้าเกี่ยวกับพระ อาการประชวนของพระองค์เจ้าฟ้าหญิงผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของแผ่นดินหลังจากที่สำนักพระราชวังได้เผยแพร่แถลงแงการฉบับที่12และ3อย่างต่อเนื่องในช่วงแรกของการประชวนแต่แล้วช่วงเวลาแห่งความเงียบงันก็ยืดยาวออกไปข้ามเดือนข้ามปีโดยไม่มีข่าวสารเพิ่มเติมใดๆออกมาครับล่าสุดวันที่15สิงหาคมพ.ธศักราชพ.ศัก256เสียงของความหวังก็ได้ดังก้องอีกครั้งเมื่อแถลงการณ์ฉบับที่4ได้ถูกเผยแพร่อย่างเป็นทางการความเคลื่อนไหวนี้นมาซึ่งความรู้สึกหลากหลายทั้งน้ำตาความตื้นตัน ใจและความห่วงใยอย่างสุดซึ้งจากพระสนิรทั่วประเทศผู้ซึ่งต่างยังคงจดจำและภักดีต่อพระองค์ท่านอย่างแน่นแฟ้นหลายคนรวมพลการอธิษฐานขอสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงหายจากพระอาการประชวนโดยเร็วเป็นพลังใจให้พระองค์ผ่านผลช่วงเวลาที่แยกลำบากนี้ไปได้โดยสวัสดิภาพนี่คือช่วงเวลาแห่งความหวังที่คนไทยทั้งชาติร่วมใจเป็นหนึ่งเพื่อส่งความรักความศรัทธาและคำอธิษฐานไปยังพระองค์ท่านด้วยจิตใจที่เปรียมล้นไปด้วยความจงรักภักดี ท่านผู้ฟังครับตามที่สำนักพระราชวังได้มีแถลงการณ์เรื่องสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิตติยาภานรนธิราเทพยวดีกรมหลวงรัชสารินีสิริพัฒน์มหาวัชรธิดาทรงพระประชวนหมดพระสติด้วยอาการทางพระหทยและทรงเข้ารับการรักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาติไทยมาตั้งแต่วันที่15ธันวาคมพ.ธศักราชพุทธศักราช2565ความทราบทั่วกันแล้วนั้นคณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาได้รายงานเพิ่มเติมว่าคณะแพทย์ได้ถวายพระโอสถและเครื่องมือเพื่อช่วยการทำงานของพระปภาสะและพระวกะมาโดยตลอดคณะ แพทย์ตรวจพบกันติดเชื้อเป็นครั้งคราวซึ่งได้ถวายพระโอสถปีวนะเพื่อรักษาพระอาการติดเชื้อดังกล่าวตั้งแต่วันที่9สิงหาคมพ.ศักราชพ.ศ.256เป็นต้นมาคณะแพทย์ตรวจพบว่าทรงมีการติดเชิญที่รุนแรงและเข้าในกระแสพระโลหิตทำให้ต้องถวายพระโอสถปีวนะหลายขนานร่วมกันรวมทั้งถวายพระโอโสถกระตุ้นความดันพระโลหิตเพื่อรักษาความดันพระโลหิตให้คงที่คณะแพทย์จะคงถวายการรักษาอย่างเต็มที่และติดตามพระอาการอย่างใกล้ชิดต่อไปจึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกันสำนักพระราชวัง วันที่5สิงหาคมพุทธศักราช2565ด้วยความห่วงใยและความคิดถึงที่ประชาชนมีต่อพระองค์ภาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพระจรกิตติยาภาขอย้ำว่านี่ไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ทางสังคมหรือกระแสอารมณ์ร่วมที่เกิดขึ้นชั่วครังชั่วคราวหากจะเป็นความรู้สึกอันลึกซึ้งที่ยังรากลึกในหัวใจของผู้คนทั้งแผ่นดินความรักความห่วงหาอาทรต่อพระองค์นั้นเกิดขึ้นจากความผูกพันที่มีรากขานมั่นคงเป็นผลจากพระเมตตาพระจริยวัตอันงดงามและพระกรณียกิจที่ทรงทุ่มเทอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยตลอด หลายปีที่ผ่านมาพระพระองค์ไม่ใช่เพียงเจ้าฟ้าผู้ทรงสูงศักดิ์หากจังทรงเป็นกัลยมิตรผู้เปรียบด้วยความเข้าใจและเคียงข้างประชาชนในยามที่พวกเขาเปราะบางที่สุดทรงเป็นที่พึ่งเมื่อประชาชนเผชิญกับปัญหาและเป็นแรงบันดาลใจเมื่อพวกเขารู้สึกสิ้นหวังในโอกาสนี้ข้าพเจ้าขอพาทุกท่านย้อนรำลึกถึงบังช่วงเวลาอันเปลี่ยนไปด้วยความหมายที่พระองค์ได้ทรงงานเพื่อแผ่นดินเพื่อประชาชนและเพื่ออนาคตของชาติด้วยพระวิริยอุตสาหะและความเสียสละอันหาใดเปรียบ มิได้ลำดับที่1โครงการกำลังใจและการทรงงานด้านผู้ต้องคังหญิงนับว่าเป็นแสงแห่งความหวังในที่มืดหนึ่งในพระกรณียกิจที่ประชาชนชาวไทยต่างจดจำได้เป็นอย่างคือโครงการกำลังใจซึ่งเป็นโครงการที่พระองค์ทรงได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี2549เพื่อดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังหญิงโดยเฉพาะผู้ที่ตั้งครรภ์หรือมีบุตรเล็กติดอยู่ในเรือนจำพระองค์ทรงเห็นว่าแม้บุคคลเหล่านั้นจะเคยกระทำผิดแต่พวกเขาก็ยังเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีและสมคน ได้รับโอกาสในการกราบตัวกราบใจพระองค์เสด็จเยือนเรือนจำต่างๆด้วยพระองค์เองทรงพบปะพูดคุยกับผู้ต้องขังมิใช่ในฐานะเจ้าฟ้าผู้สูงศักดิ์หากแต่ในฐานะกัลยาณมิตรที่พร้อมจะรับฟังทุกเสียงสะท้อนจากเบื้องล่างของสังคมท่านผู้ฟังครับมีหลายครั้งที่ผู้ต้องขังหญิงน้ำตาไหลพรากเมื่อได้รับพระเมตตาทรงปลอบโยนพวกเธอด้วยพระสุระเสียงอ่อนโยนทรงเน้นย้ำว่าทุกคนสามารถเริ่มต้นใหม่ได้พระองค์ทรงส่งเสริมโครงการฝึกอาชีพเพื่อผู้ต้องขังมีความรู้มีทักษะเมื่อกลับสู่ สังคมและสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างมีศักดิ์ศรีเสียงสะอื้นเบาๆของหญิงผู้หนึ่งที่เคยกล่าวไว้ในวันที่พระองค์เสด็จเยือนจำว่าเราไม่เคยคิดว่าคนอย่างเราจะมีใครเห็นข้าแต่เมื่อได้เห็นเจ้าฟ้ามาหาได้ยินคำพูดของพระองค์น้ำตาก็หยดโดยไม่รู้ตัวครับนี่คือเครื่องสะท้อนพระเมตตาที่ไม่อาจลบเรือนได้เมื่อพระองค์ทรงประชวนประชาชนจำนวนมากโดยเฉพาะอดีตผู้ต้องขังที่ได้รับโอกาสจากพระองค์ต่างก็ออกมาร่วมกันอธิษฐานข่อยพระองค์ทรงหายจากพระอาการประชนโดย เร็วเพราะสำหรับพวกเขาแล้วพระองค์ไม่ใช่เพียงเจ้าฟ้าแต่คือผู้ที่ให้ชีวิตใหม่แก่พวกเขาการทรงงานอย่างที่2พระกรณียกิจในนิยมชาตินำพระไทยที่เปรียบด้วยความเข้าใจช่วงปี2554ที่ประเทศไทยเผชิญมหาอุทกภัยครั้งรุนแรงที่ในรอบหลายทศวรรษหลายพื้นที่ของประเทศได้จมอยู่ใต้บาดาลบ้านเรือนเสียหายผู้คนนับหลานไรที่อยู่และขาดแคลนสิ่งจำเป็นการทรงงานของพระองค์ภาชวงเวลานั้นได้กลายเป็นแสงสว่างที่ฉายแสงแห่งความหวังให้แก่ผู้ประสบภัยพระองค์เสด็จเยือนพึงที่น้ำ ท่วมโดยไม่ย่อท้อไม่ทรงถือองค์ทรงเดินลุยน้ำกับข้าราชการทหารและอาสาสมัครทรงแจกจ่ายสิ่งของยังชีพทรงเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัยในส่วนพักพิงและที่สำคัญที่สุดทรงนั่งลงพูดคุยรับฟังและปลอบยนต์ประชาชนด้วยพระองค์เองและมีภาพหนึ่งที่ยังคงอยู่ในใจของหลายคนเป็นภาพที่พระองค์ทรงยอดตัวลงนางเคียงข้างหญิงชราผู้หนึ่งที่เพิ่งสูญเสียบ้านเรือนไปหมดสิ้นจิงชราผู้นั้นกล่าวทั้งน้ำตาว่าดิฉันไม่เคยเห็นเจ้าฟ้าใกล้ๆแต่วันนี้เจ้าฟ้าลงมานั่งกับดิฉันเหมือน แม่เหมือนลูกท่านผู้ฟังครับนั่นไม่ใช่เพียงพระราชกรณียกิจแต่คือการประทานหัวใจหัวใจของผู้ที่รักและเข้าใจประชาชนอย่างแท้จริงและเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อประชาชนทราบว่าพระองค์ทรงประชวนทุกคนต่างเฝ้ารอด้วยหัวใจที่เปรียบด้วยความห่วงใยอย่างสุดซึ้งและอีกหนึ่งการทรงงานที่เป็นที่ประทับใจของคนไทยและคนทั่วโลกคือการทรงงานด้านการต่างประเทศพระดำริในการสร้างสันติและสิทธิมนุษยชนแม้ภารกิจภายในประเทศจะหนักหนาเพียงใดพระองค์ก็ทรงแบกรับภารกิจในเวทีโลกอย่างไม่ หยุดยั้งในฐานะนักกฎหมายสตรีที่ได้รับการศึกษาระดับสูงและมีประสบการณ์ทำงานกับองค์กรสหประชาชาติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัจริตติยาภาทรงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะสิทธิของผู้หญิงเด็กและผู้โอกาสในสังคมโลกในหลายเวทีระดับนานาชาติพระองค์ทรงกล่าวสุนทรพจน์ด้วยถ้อยคำที่ทรงพลังและลุ่มลึกสะท้อนพระสติปัญญาและพระหันฤทัยที่เต็มไปด้วยความเมตตาตัวอย่างหนึ่งที่เป็นที่จดจำคือเมื่อพระองค์ทรงเข้าร่วมประชุมสหประชาชาติ ในฐานะผู้แทนประเทศไทยพระองค์ได้ตรัสถึงความสำคัญของการให้โอกาสผู้ต้องค้างหญิงโดยเปรียบเลยว่าในทุกมุมมืดของสังคมย่อมมีแสงเล็กๆซ่อนอยู่หน้าที่ของพวกพวกเราคือการไม่ปล่อยให้แสงนั้นดับลงคำตรานั้นกลายเป็นแรงบันดาลใจแก่พวกคนในหลายประเทศจนองค์การต่างๆยบย่องพระองค์ว่าเป็นผู้นำแห่งความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงการที่เจ้าฝ่าหญิงของไทยทรงเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติคือสิ่งที่ทำให้คนไทยภาคภูมิใจและรักพระองค์อย่างสูดหัวใจท่านผู้ ฟังครับในวันนี้เมื่อข่าวพระอาการประชนของพระองค์ภาเผยแพร่ออกมาในแถลงการสำนักพระราชวังฉบับที่4เสียงอธิษฐานจึงไม่ได้ดังกล้องเพียงในประเทศไทยเท่านั้นแต่ยังดังกังวาลไปถึงดินแดนไกลโพนทั่วโลกเพราะพระองค์ไม่ใช่เพียงเจ้าฝากของแผ่นดินไทยแต่เป็นสตรีผู้มีหัวใจยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติสุดท้ายนี้ในความเงียบงามของค่ำคืนที่แสงดังมืดมนก็ยังมีหัวใจนับล้านเฝ้าภาวนาขอแสงหนึ่งเดียวบนฟากฟ้าแสงของพระองค์ภาได้กลับมาเปล่งประกายอีก ครั้งเพราะประชาชนยังคงรักห่วงใยและคิดถึงพระองค์อย่างไม่มีวันลดน้อยลงเลยในนามของช่องคิดดีธรนีChannelขอน้อมถวายพระพรชัยแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ารัจลกิตติยภานเรนธิราเทพยววดีกรมหลวงรัชสารินีสิริพัฒ์มหาวัชรัชธิดาด้วยความจุกรักภักดีอย่างหาที่สุดมิได้ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกได้โปรดอภิบาลรักษาพระองค์ให้ทรงมีพระพลนามัยสมบูรณ์แข็งแรงทรงมีพระกำลังพระวรกายและพระทัยที่เข้มแข็งพร้อมที่จะทรงฟื้นฟูขึ้นจากพระอาการ ประชวนโดยเรวันประชาชนชาวไทยต่างเฝ้ารอวันนั้นวันที่พระองค์จะทรงกลับมาทรงงานได้อีกครั้งกลับมาเป็นดั่งร่มโพธิ์ร่มไทรเป็นมิ้งขวัญของพระสงฆนิกรผู้จงรักภักดีผู้ซึ่งยังคงคิดถึงพระองค์ในทุกลมหายใจและทรงแรงใจไปถึงพระองค์อย่างมิขาดสายเสียงคำอธิอธิษฐานจากหัวใจของคนไทยนับล้านในยามนี้กำลังรวมเป็นพลังอันยิ่งใหญ่เพื่อส่งไปยังพระองค์ท่านด้วยความรักความห่วงใยและความภักดีเหนือสิ่งอื่นใดขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่ง ยืนนานด้วยกล้าวด้วยกระหม่อมขอเดชะช่องคิดดีทำดีChannelขอน้อมส่งแรงใจและขอเป็นหนึ่งเสียงเล็กๆในคลื่นแห่งความภักดีที่พร้อมเฝ้ารอวันฟ้ากลับมาสดใสอีกครั้งเมื่อพระองค์ทรงหายดีและเสด็จกลับมาเป็นแสงสว่างให้แก่หัวใจของคนไทยทุกคนขอพระองค์ทรงพระเจริญขอบพระคุณเนื้อหาที่มาข้อมูลที่ได้นำเรื่องราวดีๆมาเผยแผ่เพื่อเป็นธรรมทานแก่ท่านผู้ฟังขอบพระคุณท่านผู้ฟังกัลยาณมิตรทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการรับฟังสุดท้ายนี้ขอทุกท่านประสงค์พบจนแต่ความดี

ด่วนมาก! แถลงการณ์ฯ ฉบับที่ 4 พระองค์ภา เจ้าฟ้าหญิง คนไทยสะอื้นทั้งแผ่นดิน พระอาการยังทรง … Read More

สำนักพระราชวัง เผยแพร่ประกาศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต

สำนักพระราชวัง เผยแพร่ประกาศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต ตามที่คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี้พันปีหลวง ได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๒ เพื่อติดตามพระอาการทางระบบต่าง ๆ ความทราบทั่วกันแล้วนั้น ในช่วงที่ประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรหลายครั้ง และคณะแพทย์ตรวจพบความผิดปรกติทางระบบต่าง ๆ …

สำนักพระราชวัง เผยแพร่ประกาศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต Read More

คำทำนายหรือการสมคบคิด? ปริศนาม้าขาว

ในห้วงเวลาที่ความเงียบของราชสำนักกลายเป็นกระแสที่ดังก้องในจิตใจของประชาชนคำทำนายเก่าแก่ที่เคยถูกลืมเลือนกลับถูกกล่าวถึงอีกครั้งพระนางขี่ม้าขาววลีเพียงไม่กี่คำแต่สะเทือนความเชื่อของคนทั้งแผ่นดินบางคนมองว่าเป็นเพียงเรื่องเล่าในตำนานบ้างก็มองว่าเป็นถ้อยคำที่แฝงด้วยพลังของอนาคตท่ามกลางความไม่แน่นอนในราชสำนักและความเปลี่ยนแปลงของบทบาทสตรีในสังคมไทยคำนายนี้ได้หวนกลับมาในใจของผู้คนอย่างเงียบงามแต่หนักแน่นประดุจ เสียงกระซิบจากอดีตที่ยังไม่ยอมจางหายความเชื่อที่ว่าหญิงผู้ทรงพลังจะปรากฏขึ้นเพื่อฟื้นฟูความสมดุลของราชวงศ์กลับกลายเป็นคำถามที่ไม่มีใครกล้าตอบตรงๆแต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้เช่นกันในยุคที่ข้อมูลถูกส่งต่อเพียงชั่วพริบตาการกลับมาของเจ้าหญิงพัชรกิตติยาผาทั้งในทางกายภาพและในเชิงสัญลักษณ์กลายเป็นจุดสนใจที่ยิ่งใหญ่ผู้คนไม่เพียงเฝ้ารอข่าวคราวเรื่องสุขภาพของพระองค์แต่ยังแอบเชื่อว่าการฟื้นคืนของพระองค์อาจสื่อถึงบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าการหายจากอาการ เจ็บป่วยเราจึงตั้งคำถามว่าคำทำนายเรื่องพระนางขี่ม้าขาวนั้นเป็นเพียงบทกวีงดงามหรือเป็นรหัสลับที่กำลังคลี่คล้ายต่อหน้าต่อตาเราเจ้าหญิงที่ใครหลายคนอาจหลงลืมไปแล้วกำลังเดินบนเส้นทางที่บทกวีได้ขีดไว้ล่วงหน้าโดยไม่รู้ตัวหรือไม่หรือทั้งหมดนี้เป็นเพียงภาพสะท้อนของความปรารถนาในจิตวิญญาณของผู้คนที่ยังคงเฝ้ารอผู้นำที่อ่อนโยนแต่ทรงพลังในโลกที่ไร้ความแน่นอนบางครั้งความหวังคือม้าข่าวตัวสุดท้ายที่เรายึดไว้เรื่องราวของเราเริ่มต้นจากจุด นี้การเดินทางย้อนสู่ต้นกำเนิดของคำทำนายที่แฝงเร้นและการไขปริศนาที่อาจเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่พร้อมกับตั้งคำถามถึงความหมายของการกลับมาอย่างแท้จริงคำนายเรื่องพระนางขี่ม้าขาวไม่ได้เพิ่งถือกำเนิดขึ้นในยุคปัจจุบันหากแต่ว่าฝังรากลึกในเอกสารโบราณที่หลงเหลืออยู่เพียงบางส่วนบทกวีหนึ่งจากยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นได้กล่าวถึงหญิงผู้หนึ่งผู้มาพร้อมมาขาวกลางพายุฝนเพื่อปลอบขวัญแผ่นดินในยามที่ผู้คนหลงทิศทาเนื้อความในบทกวีไม่ได้ระบุชื่อหรือสถาน ที่อย่างชัดเจนทว่าถ้อยคำกลับเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่สามารถตีความได้หลากหลายนางมิได้มาเพื่อครอบครองบัลลังก์แต่เพื่อคืนสมดุลให้วิญญาณแผ่นดินดวงตาเธอมองเห็นสิ่งที่ผู้คนไม่กล้ามองมือเธออ่อนโยนแต่หัวใจแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าม้าขาวนำทางเธอผ่านม่านหมอกของเงาอดีตบทกวีนี้เคยถูกตีความว่าเป็นเพียงการสรรเสริญคุณธรรมของสตรีผู้มีบารมีทว่าหลังเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในราชสำนักเมื่อไม่นานมานี้นักวิชาการและนักโหรศาสตร์บางคนเริ่มหันกลับ มาทบทวนความหมายแฝงอย่างจริงจังอีกครั้งบางคนเชื่อว่าม้าขาวในบทกวีไม่ได้สื่อถึงสัตว์จริงแต่เป็นภาพเปรียบของพลังแห่งคุณธรรมความบริสุทธิ์และความกล้าหาญที่จะฝ่าเงามืดแห่งความเงียบงันความหวังในเวลาที่ประชาชนรู้สึกหลงทางและที่น่าจับตามองยิ่งกว่านั้นคือตัวเอดในบทกวีหญิงสาวผู้ไม่ถือตำแหน่งสูงสุดแต่กลับเป็นผู้ที่ฟื้นคืนแสงของบ้านเมืองด้วยการกระทำที่ไม่มีใครคาดคิดความคล้ายคลึงระหว่างบุคคลนั้นกับภาพลักษณ์ของเจ้าหญิง พัชรกิตติยาภาในปัจจุบันจึงเริ่มจุดประกายคำถามอีกครั้งว่าเธอคือคนเดียวกันกับที่บทกวีได้กล่าวถึงหรือไม่คำทำนายนี้ไม่ใช่เพียงแค่คำบอกเล่าจากคนเท่าคนแก่แต่คือกระจกสะท้อนความหวังของประชาชนในทุกยุคสมัยเมื่อใดที่บ้านเมืองไร้ทิศทางเมื่อนั้นพระนางขี่ม้าขาวจะกลับมาในรูปแบบที่ไม่มีใครคาดถึงหากพระนางขี่ม้าขาวคือเงาของผู้หญิงในตำนานที่ถือพลังแห่งความสมดุลและการเยียวยาแล้วในโลกแห่งความจริงวันนี้ใครคือบุคคลที่มีลักษณะเช่นนั้นเมื่อเราหัน กลับมามองเจ้าหญิงพัชรกิตติยานับตั้งแต่วันแรกที่พระองค์ก้าวเข้าสู่บทบาทในราชการและงานด้านกฎหมายทัศนคติของพระองค์กลับไม่ได้เน้นเพียงพิธีการหรือภาพลักษณ์หากแต่เต็มไปด้วยพลังของการลงมือปฏิบัติพระองค์เสด็จไปยังเรือนจำหยินอย่างเงียบๆเป็นระยะเวลาหลายปีเพื่อผลักดันโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังหญิงให้กลับคืนสู่สังคมอย่างมีศักดิ์ศรีนี่ไม่ใช่การเดินทางเพื่อให้ใครมองเห็นหากเป็นการเลือกก้าวเข้าไปในพื้นที่ที่ สังคมมองข้ามด้วยความเข้าใจลึกซึ้งในธรรมชาติของมนุษย์และความเจ็บปวดที่ไร้เสียงสิ่งเหล่านี้คือบทบาทที่อยู่เบื้องหลังแต่ทรงพลังคือคำตอบที่อาจไม่ได้อยู่ในแสงแฟกของกล้องแต่ฝังแน่นอยู่ในสายตาของผู้คนที่เคยอยู่ในความมืดหากย้อนกลับไปเปรียบเทียบกับถ้อยคำในบทกวีที่ว่าเธอจะมาในยามที่ไม่มีใครคาดหวังไม่ได้เพื่อครอบครองแต่เพื่อปลดปล่อยเราจะพบว่าน้ำเสียงของคำทำนายกับการกระทำของเจ้าหญิงในชีวิตจริงเริ่มมีจุดร่วมที่น่าประหลาดใจ และเมื่อพระองค์เผชิญภาวะอาการป่วยรุนแรงจนห่างหายไปจากสาธารณะผู้คนกลับไม่ได้ลืมเลือนหากเริ่มมีการรำลึกถึงบทบาทของพระองค์มากขึ้นเงียบแต่มั่นคงประหนึ่งจักรวาลเองก็กำลังเตรียมเวทีสำหรับการกลับมาบางอย่างแม้จะไม่ใช่ในรูปแบบที่เคยมีแต่เป็นในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิมจะเป็นอย่างไรหากม้าขาวในคำทำนายไม่ใช่สัตว์ในนิยายแต่เป็นเวทีแห่งโอกาสที่มอบให้กับผู้หญิงเพียงไม่กี่คนในรอบศักวรรและเจ้าหญิงพัชรกิตติยาผาออาจกำลังเดิน เข้าสู่บทบาทนั้นโดยไม่ตั้งใจแต่อย่างเงียบงามและสง่างามในโลกที่ข่าวสารหมุนเวียนรวดเร็วจนยากแยกแยะความจริงจากเสียงสะท้อนคำว่าม้าขาวดูจะไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์แห่งอีกต่อไปหากกลายเป็นภาวิตสำนึกร่วมที่ประชาชนทั้งประเทศกำลังหล่อหลอมขึ้นมาอย่างเงียบเชียบหลังจากเหตุการณ์ที่เจ้าหญิงพัชรกิตติยาพาประสบปัญหาด้านพระพลานามัยกระแสข่าวเงียบงันลงอย่างผิดปกติไม่มีภาพไม่มีเสียงไม่มีคำอธิบายมีเพียงความเงียบที่กินเวลานับพันวันทว่า เงียบนั้นเองสิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่การลืมแต่เป็นการรอคอยรอคอยโดยไม่รู้ตัวรอคอยด้วยความหวังว่าบุคคลที่หายไปจะกลับมาในรูปแบบที่เปลี่ยนไปแข็งแกร่งกว่าเดิมลึกซึ้งกว่าเดิมและเป็นคำตอบบางอย่างต่อคำถามที่ไม่มีใครกล้าถามการกล่าวถึงเจ้าหญิงในช่วงหลังเริ่มมีเสียงใหม่ๆปรากฏขึ้นจากประชาชนที่เคยได้รับอิทธิพลจากโครงการของพระองค์พวกเขาไม่ได้พูดถึงราชวงศ์ในแง่พิธีการแต่พูดถึงความเปลี่ยนแปลงจริงที่พระองค์ได้ สร้างไว้ในระดับรากหญ้าแม้ในสื่อกระแสหลักจะไม่มีบทความเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับคำทำนายแต่ในโลกออนไลน์บทสนทนาเกี่ยวกับการกลับมากลับค่อยๆเชื่อมโยงกับคำว่าพระนางขี่ม้าขาวโดยไม่มีใครกำกับถ้าพระองค์หายดีจริงนั่นอาจเป็นสัญญาณทำไมชื่อของพระองค์กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้งอาจจะถึงเวลาแล้วที่ใครบางคนจะกลับมาเป็นดั่งความหวังของชาติกระแสเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการโหมกระพือแต่เกิดจากแรงสะท้อนภายในจากประชาชนที่ยังคงเชื่อใน พลังของผู้นำที่ไม่ต้องตะโกนและหากเราย้อนกลับไปมองคำทำนายอีกครั้งว่านางมิใช่ผู้เปล่าประกาศสิ่งใดแต่ทุกย่างก้าวคือคำทำนายที่กำลังเป็นจริงบางทีการที่เจ้าหญิงพัชรกิตติยาภาไม่อยู่ในพื้นที่สื่ออาจไม่ใช่การจางหายแต่อาจเป็นช่องว่างที่เปิดให้คำทำนายเริ่มทำงานในจิตใจของผู้คนและในเงาสะท้อนของยุคสมัยในสังคมไทยซึ่งอย่างรากลึกกับความเชื่อและพิธีกรรมคำว่าคำทำนายไม่ได้เป็นเพียงวรรณกรรมเพื่อความบันเทิงหากคือแรงขับ เคลื่อนเงียบๆที่แฝงอยู่ในจิตใต้สำนึกของคนทั้งชาติพระนางขี่ม้าขาวจึงมิได้เป็นเพียงหญิงในตำนานแต่กลายเป็นต้นแบบของความหวังที่ประชาชนโหยหาในห้วงยามที่ความมั่นคงถูกสั่นคลอนเมื่อราชสำนักตกอยู่ในความเงียบเมื่อประชาชนเริ่มตั้งคำถามกับอนาคตและเมื่อข่าวสารที่เคยเชื่อถือได้กลายเป็นเพียงเสียงสะท้อนคำทำนายโบราณที่แฝงอยู่ในบทกวีกลับปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่ทางจิตใจนักจิตวิทยาบางรายเปรียบปรากฏการณ์นี้ว่าการฉายภาพของจิตสำนึกรวม CollecticProjectionซึ่งอธิบายได้ว่าในช่วงเวลาที่สังคมไม่แน่ใจในทิศทางผู้คนจะเริ่มวาดภาพบุคคลที่พวกเขาต้องการให้ปรากฏขึ้นมาไม่ต่างจากการเฝ้ารอม้าขาวกลางทะเลหมอกและหากบุคคลนั้นเคยหนีตัวตนจริงเคยทำหน้าที่เป็นผู้เยียวยาอย่างเงียบงันเคยถูกหลงลืมไปด้วยความเงียบของพิธีการพลังของจิตสำนึกรวมก็จะเริ่มผลักดันเถอะขึ้นมาอีกครั้งในฐานะภาพแทนของความหวังแม้จะไม่ได้ประกาศตัวอย่างเป็นทางการน่าสนใจว่าคำทำนายนี้ไม่ได้ระบุว่าหญิงผู้นั้นจะ สถาปนาตนเองแต่ผู้คนจะหันไปมองเธอโดยพร้อมเพรียงกันตระหนึ่งเสียงในใจของคนหมู่มากได้เลือกแล้วโดยไม่ต้องลงคะแนนเมื่อไม่มีใครกล้าก้าวขึ้นข้างหน้าเธอจะยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนกับว่าเธออยู่ตรงนั้นเสมอมาในห้วงเวลาที่อนาคตของราชวงศ์ไทยยังไม่อาจคาดเดาบางทีเราทุกคนกำลังตอบสนองต่อคำทำนายนี้ไม่ใช่ด้วยเหตุผลแต่ด้วยความรู้สึกเพราะความหวังไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลและคำทำนายอาจเป็นเพียงภาษาของหัวใจที่ยังไม่ถูกแปลเมื่อกล่าวถึงคำ ทำนายในสังคมไทยเรามักจะโยงเข้ากับโชคชะตาที่ถูกเขียนไว้ล่วงหน้าดั่งเส้นได้ที่ถูกถักทอดโดยเทพเจ้าหรืออำนาจเหนือมนุษย์ทว่าหากเราตั้งคำถามให้ลึกกว่านั้นคำทำนายคือสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะมันถูกกำหนดไว้หรือเพราะเราหวังให้มันเกิดขึ้นเจ้าหญิงพัชชรกิตติยาพาอาจไม่ได้เลือกจะเป็นพระนางขี่ม้าขาวและไม่มีบทกฎหมายหรือพระราชองการใดแต่งตั้งให้พระองค์เป็นเช่นนั้นแต่การกระทำของพระองค์กลับนำพาเธอเข้าใกล้ภาพนั้นอย่างน่าประหลาดเมื่อเธอ เงียบคนจดจำเมื่อเธอปรากฏคนหวังให้เธอกล่าวบางสิ่งแม้ไม่พูดอะไรเลยนั่นกลับกลายเป็นเสียงที่ดังกล้องเส้นแบ่งระหว่างโชคชะตาและการเลือกของจิตวิญญาณจึงเริ่มพร่าเลือนเพราะบางทีโชคชะตาก็อาจเป็นเส้นทางที่เราสร้างขึ้นเองจากการกระทำเล็กๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนวันหนึ่งคนอื่นเริ่มเรียกสิ่งนั้นว่าฟ้าลิขิตหากคำทำนายเป็นดั่งแผนที่พระองค์อาจเป็นผู้ที่เดินตามแผนที่นั้นด้วยความไม่รู้ตัวหรืออาจเป็นผู้ที่เลือกเส้นทางซึ่งพาไปยังจุดเดียวกันโดยไม่มีใครสั่งการมี อยู่ของคำทำนายทำให้เรามองเห็นความหมายในความเงียบและการปรากฏตัวอย่างไม่เป็นทางการของเจ้าหญิงทำให้คำทำนายกลับมามีชีวิตตรัชญาของฟีดรนีชเคยกล่าวไว้ว่าโชคชะตาไม่ได้มีไว้ให้เรายอมรับแต่มีไว้ให้เราสร้างอาจขี่ม้าขาวหรือไม่เป็นเรากำลังเป็นพยานในการสร้างพระนางขี่ม้าขาวขึ้นมาโดยส่วนรวมอยู่หรือเปล่าเพราะในท้ายที่สุดคำทำนายไม่ได้เป็นเจ้าของโชคชะตามันเป็นเพียงกระจกเงาสะท้อนให้เราเห็นว่าใครคือคนที่เราอยากให้เป็นในเวลาที่โลกต้องการที่สุด ในขณะที่ผู้คนยังคงเฝ้ารอข่าวดีจากราชสำนักเกี่ยวกับพระอาการของเจ้าหญิงพัชรกิตติยาภาความเงียบที่ยาวนานหลายร้อยวันกลับมิได้กลบเสียงของความหวังหากแต่มันยิ่งขยายขอบเขตของจินตนาการและเปิดพื้นที่ให้กับการกลับมาในอีกความหมายหนึ่งการกลับมาไม่จำเป็นต้องเป็นภาพของพระองค์ยืนอยู่หน้ากล่องหรือโบกพระหัตถ์กลางงานพิธีหากอาจเป็นเพียงการปรากฏในจิตใจของผู้คนปรากฏในบทสนทนาในความเชื่อและในคำถามที่ไม่มีใครกล้าถามตรงๆว่าหากวันหนึ่งเธอกลับมา ราชวงศ์ไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไรสิ่งที่น่าจับตามองคือการเคลื่อนไหวไหวทางสังคมอย่างเงียบๆที่กำลังเชื่อมโยงภาพลักษณ์ของเจ้าหญิงกับบทบาทใหม่ในจินตนาการของประชาชนบางคนมองว่าหากพระองค์หายดีการกลับมาอาจไม่ใช่การรับตำแหน่งแต่เป็นการปลุกสำนึกให้แก่สังคมปลุกให้เชื่อว่าผู้นำหญิงไม่จำเป็นต้องแข็งเกล้าปลุกให้เห็นว่าความเมตตาคือพลังและเงียบก็ทรงอิทธิพลได้ภาพของพระนางขี่ม้าขาวที่เคยถูกล้อมรอบด้วยตำนานและบทกวีโบราณกำลังถูกถ่ายทอด ใหม่ผ่านมุมมองของคนรุ่นใหม่พวกเขาไม่เพียงเฝ้ารอปาฏิหาริย์แต่กำลังสร้างมันขึ้นมาด้วยความหวังอย่างเงียบงันแต่มั่นคงม้าขาวในตำนานอาจไม่ใช่สัตว์ที่มีอยู่จริงแต่มันมีอยู่ในรูปแบบของช่วงเวลาช่วงเวลาที่สังคมเริ่มมองเห็นความหวังในผู้หญิงที่เคยถูกกลืนและเริ่มตั้งคำถามว่าเธอจากไปหรือเราเองที่ยังไม่เคยเข้าใจบทบาทที่แท้จริงของเธอการกลับมาในเงามืดในสายตาที่จดจำในจิตวิญญาณของประชาชนอาจทรงพลังยิ่งกว่าการกลับมาใดๆที่เคยมีมาก่อน เมื่อเราหยุดนิ่งเพียงชั่วครู่และหันกลับไปทบทวนคำทำนายพระนางขี่ม้าขาวเราอาจพบว่าความหมายของมันไม่เคยหยุดนิ่งหากเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบไปพร้อมกับกาลเวลาเปลี่ยนรูปร่างไปตามยุคเปลี่ยนใบหน้าไปตามผู้นำเปลี่ยนความหวังไปตามเสียงของประชาชนในศตวรรษที่21ซึ่งเป็นยุคแห่งความคลุ้มเครือทางอำนาจความเปราะบางสถาบันและความเปลี่ยนแปลงของระบบคุณค่าคำทำนายโบราณกลับยังสามารถสะท้อนความจริงในปัจจุบันได้อย่างคมชัดจนน่าประหลาดพระนาง ขี่ม้าขาวไม่ใช่เพียงตำนานแต่เป็นบทเรียนทางสังคมเป็นคำเตือนถึงความจำเป็นของการฟื้นฟูด้วยมือของผู้ที่รู้จักทั้งความเข้มแข็งและความอ่อนโยนหากเจ้าหญิงกิติยาพาจะกลับมาไม่ว่าด้วยบทบาทใดนั่นอาจไม่ใช่การกลับมาเพื่อครองอำนาจแต่เพื่อปลุกอุดมการณ์ที่ประชาชนเคยศรัทธาเพื่อเป็นภาพสะท้อนว่าความรักชาติความเสียสละและการลงมือทำจริงยังคงมีที่ยืนอยู่ในหัวใจของราชวงศ์ไทยเราทุกคนอาจไม่รู้ว่าอนาคตจะนำพาไปสู่จุดใดแต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอน คือความหวังไม่เคยตายและผู้คนจะยังคงเฝ้ารอใครบางคนที่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้สมบูรณ์แบบหากแต่เป็นผู้ที่พร้อมยืนอยู่ตรงกลางระหว่างความเงียบและการเริ่มต้นใหม่ดังเช่นบทกวีสุดท้ายที่ปรากฏในตำราเก่าหากเธอกลับมาในยามที่ไร้เสียงใดเรียกหาจงรู้ไว้ว่าโลกยังจำเธอได้เสมอมาขาวไม่เคยหายไปมันรอเพียงผู้กล้าที่จะควบมันด้วยหัวใจไม่ใช่ด้วยอำนาจและบางทีคำทำนายนั้นอาจไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อทำนายอนาคตแต่อาจเขียนขึ้นเพื่อทดสอบว่าเราจะเชื่อ

คำทำนายหรือการสมคบคิด? ปริศนาม้าขาว Read More

มาฟัง! “เจ๊ปอง” เล่าความสัมพันธ์ “น้องเพลง-ลูกนายกฯหนู” 6 เดือนไร้รูปถ่าย!

คือฉันจะเล่าเรื่องน้องเพลงให้ฟังได้มคือ น้องเพลงเนี่ยเป็นคนที่เข้มแข็งมากคือ IG ของน้องเพลงเนี่ย 6 เดือนที่ผ่านมาไม่มี ภาพไม่มีภาพคู่กันกับคุณเป๊ก เป็นลูกของ ซึ่งลูกคุณลูกชายคนเล็กคุณอนุทินที่จะมี ลูก 2 คนน้องต้นสนกับน้องเป๊กใช่มั้น้อง เป๊กเนี่ยไปขอน้องเพลงแต่งงานเเป็นแฟนกัน คือลูกของิดา 7 ปีใช่ 7 ปี แล้วคุณคุณเพลงเนี่ยเขาได้รับการเลี้ยงดู แบบประคบประหงมแบบจากคุณยาย คุณแม่และคุณพ่อ คุณพ่อเสไปแล้ว ใช่ซึ่งตั้งแต่ตั้งแต่เกิดมาจนถึงเป็นสาว แล้วมีแฟนเนี่ยเป๊กเนี่ย คนเดียว เมือแบบไข่ในหินน่ะ แล้วเรียนเก่งมากจบอินเตอร์เรียนนิเทศ อินเตอร์เอาจจะทำงานบันเทิงมากเล็กน้อย เพื่อที่เป็นประสบการณ์แล้วก็ไปต่อปริญญา โททางด้านอสังหาริมทรัพย์ …

มาฟัง! “เจ๊ปอง” เล่าความสัมพันธ์ “น้องเพลง-ลูกนายกฯหนู” 6 เดือนไร้รูปถ่าย! Read More

เผยด้านมืดของ “บทบาทใหม่”: เมื่อบทบาทใหม่ของ เจ้าคุณพระสินีนาถ กลายเป็นแรงกดดัน

ยามสนทยาคลี่คลุมกำแพงพระราชวังแสงสุดท้ายของวัลละลียบตริมหลังคาเครื่องยอดจนเกิดประกายวาวับราวเกล็ดดาวเสียงระฆังปลายยามค่อยๆทอดยาวดั่งลมหายใจของประวัติศาสตร์ค่ำคืนนี้เราจะไม่เร่งสรุปไม่รีบตัดสินหากเพียงค่อยๆเปิดม่านให้สายตาของผู้ชมคุ้นชินกับความมืดสลัวที่ซ่อนรายละเอียดไว้มากมายเพราะบางครั้งเรื่องราวสำคัญไม่ได้เริ่มจากเสียงอื้อแต่เริ่มจากความเงียบที่ยืนยาวความจริงมักเริ่มต้นด้วยเสียงกระซิบนักปราชญ์คนหนึ่งกล่าว ไว้เช่นนั้นและบ่อยครั้งกระซิบเล็กๆเหล่านั้นเองที่กระเพื่อมไปถึงหัวใจของสถาบันชื่อของเจ้าคุณพระศินีนาฏตะพิราฎกัลยาณีปรากฏขึ้นอีกครั้งท่ามกลางกระแสตีความมากมายในสังคมไทยบ้างเรียกสิ่งนี้ว่าการกลับมาบ้างเพียงมองว่าเป็นการเคลื่อนตัวของสัญลักษณ์ในระบบพิธีการละเอียดอ่อนแต่ไม่ว่าคำอธิบายใดจะชนะใจผู้คนในชั่วขณะความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือความสนใจของสาธารณะกำลังจับจ้องอยู่ที่ความเป็นไปได้ของบทบาทใหม่บทบาทที่อาจมิใช่เพียง ตำแหน่งหากเป็นฟังก์ชันทางสังคมเป็นสะพานที่เชื่อมพิธีทำกับสายทานความรู้สึกของผู้คนในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเพื่อไม่ให้เรื่องเล่าหลงทางเราขอวางกรอบการเล่าที่เคารพต่อข้อเท็จจริงพร้อมพื้นที่สำหรับการไตร่ตรองเชิงสัญลักษณ์เราจะตั้งคำถามแทนคำตอบเราจะพาผู้ชมอ่านข้อความของกาลเวลาแทนการชี้นิ้วไปยังบทสรุปเฉียบพลันเพราะราชสำนักดำเนินไปไม่ต่างจากจักรวาลนับก้าวด้วยฤดูกาลและพิธีการดวงดาวเคลื่อนช้าแต่มั่นคงพิธีกรรม เคลื่อนละเอียดแต่ทรงความหมายสิ่งที่เปลี่ยนช้าใช่ว่าจะไม่เปลี่ยนและการรับรู้ของสังคมก็เช่นกันคำถามแรกที่ต้องถามคือนี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงตำแหน่งหรือเชิงบทบาทตำแหน่งเป็นภาพที่ค้นเห็นได้ในเอกสารหรือพิธีการส่วนบทบาทคือพลังเงียบที่ซึมลงไปในความทรงจำร่วมของสังคมหากตำแหน่งบอกเราว่าใครยืนตรงไหนบทบาทก็บล็อกกว่าเขายืนไปเพื่ออะไรและในเวลาที่ใดการพิจารณาบทบาทของเจ้าคุณพระศินีน่าจะจึงไม่ได้หยุดอยู่ตรงคำเรียกขานหากต้อง มองผ่านภาษากายของพิธีการผ่านลำดับชั้นที่มีตักกับของมันเองผ่านการจัดวางในงานพระราชพิธีผ่านจังหวะปรากฏและเว้นวรรคซึ่งทั้งหมดนี้อาจเป็นถ้อยคำที่สถาบันใช้สนทนากับประชาชนถัดมาเราต้องถามถึงบริบทของยุคสมัยสังคมไทยในห้วงเวลาปัจจุบันมีความหวังและความกังวลที่ทับซ้อนกันผู้คนแสวงหาเสถียรภาพทางความรู้สึกไม่แพ้เสถียรภาพทางการเมืองยิ่งโลกหมุนเร็วเสียงที่เรียกร้องความหมายก็ยิ่งดังบทบาทใหม่ใดๆในสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งไม่ได้มีผลเพียงต่อพิธี การแต่ยังสะเทือนมิติทางวัฒนธรรมและจิตวิทยาสาธารณะเมื่อภาพหนึ่งภาพที่ผ่านการออกแบบอย่างประณีตสามารถปลอบประโลมหรือกระตุกใจผู้คนนับล้านเราจึงต้องอ่านภาพเหล่านั้นอย่างรอบคอบอ่านการวางองค์ประกอบอ่านสายตาและท่วงท่าที่บอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสถาบันในอีกมิติหนึ่งการกลับมาของชื่อหนึ่งชื่อในพงศาวดารร่วมสมัยย่อมทำให้ผู้คนถกเถียงบางเสียงโอนเอียงไปสู่ความโรแมนติกของชะตารมบางเสียงระมัดระวังต่อการคาดเดาทั้งสองเสียงสำคัญเท่ากันเพราะช่วยถ่วง ระหว่างความหวังกับเหตุผลระหว่างความคาดหมายกับวินัยของข้อเท็จจริงเราเลือกเดินบนเส้นได้ระหว่าง2ฝั่งนี้อย่างตั้งใจเปิดพื้นที่ให้ความเป็นไปได้แต่ไม่ทิ้งเข็มทิศของข้อมูลที่ตรวจสอบได้ค่าน้ำหนักของคำพูดจึงไม่อยู่ที่เสียงดังหรือเบาแต่อยู่ที่ความซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่รู้จริงและสิ่งที่ยังเป็นเพียงในเพื่อให้การรับชมในตอนต่อไปมีหลักยึดร่วมกันขอชวนผู้ชมตั้งสมมติฐานเบื้องต้นประการแรกหากสถาบันต้องการสื่อสารความต่อ เนื่องบทบาทใหม่จะถูกออกแบบให้ขับเน้นความกลมกลืนไม่ใช่การตัดตอนประการที่2หากสถาบันต้องการสื่อสารการปรับตัวบทบาทใหม่จะเปิดทางให้เกิดการเชื่อมสะพานระหว่างประเพณีกับสังคมร่วมสมัยผ่านงานอุปถัมภ์หรือภารกิจเฉพาะทางที่สัมผัสได้จริงประการที่3หากต้องการสื่อสารความหวังบทบาทใหม่จะปรากฏควบคู่สัญลักษณ์ที่อ่านง่ายและจับใจเช่นสีสันดอกไม้เครื่องราชูโพกหรือการจัดวางที่บ่งชี้การโอบรับของพิธีธรรมสมมติฐานทั้ง3มิใช่ข้อสรุปหาก เป็นเลนให้เราดูพัฒนาการต่อไปด้วยสติท่ามกลางเลนเหล่านี้เจ้าคุณพระศินีน่าจะถูกอ่านในฐานะภาพสะท้อนของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสถาบันเราอาจเห็นความเงียบที่เป็นภาษาหนึ่งเห็นการเว้นวรรคที่เป็นน้ำเสียงหนึ่งเห็นการปรากฏที่ไม่ต้องประกาศแต่มีความหมายนี่คือความงามแบบราชพิธีที่ไม่เร่งเร้าแต่สลักซ้อนด้วยชั้นเชิงพิธีการคือบทกวีที่เขียนด้วยกาลเวลาถ้อยคำนี้ช่วยเตือนใจว่าสิ่งที่เราเห็นในขณะหนึ่งมักเชื่อมโยงกับเส้นยาวของ อดีตและทิศทางของอนาคตเสมอการเล่าของเราจึงจะดำเนินต่อไปด้วยจังหวะของเรื่องจริงที่ยืนยันได้สลับกับการตีความเชิงสัญลักษณ์เราจะยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่มีบันทึกสาธารณะรองรับเพื่อเป็นหมุดยึดและใช้ถ้อยคำเปรียบเทียบเพื่อเปิดช่องทางความคิดเพราะผู้ชมไม่ได้ต้องการเพียงคำตอบแต่ต้องการภาษาที่จะอธิบายความรู้สึกของตนเองต่อภาพที่เห็นหากบทบาทใหม่เกิดขึ้นจริงมันจะไม่ใช่เพียงการมอบหมายหากเป็นพิธีกรรมทางความทรงจำร่วมที่ทำให้ผู้ คนตีความความหมายของการอยู่ร่วมกันระหว่างสถาบันกับสังคมในโลกยุคใหม่ท้ายที่สุดของตอนนี้เราขอทิ้งคำถามหนึ่งไว้ให้คิดเมื่อเสียงกระซิบเริ่มดังขึ้นเป็นเสียงพูดคุยเราจะวัดน้ำหนักของมันอย่างไรในโลกที่ข่าวสารหลั่งไหลและการตีความเร็วกว่าเอกสารการยืนอยู่ฝั่งของความเคารพต่อข้อเท็จจริงอาจดูเชื่องช้าแต่ความช้าดังกล่าวคือความแข็งแรงของเรื่องเล่าที่จะคงอยู่สิ่งที่ยืนยาวมักเดินช้าและบทบาทที่ยืนยาวก็เช่นกันหากมีการเปลี่ยนผ่านเกิด ขึ้นจริงมันจะโคจรเข้าที่อย่างสงบและหนักแน่นด้วยภาษาแห่งพิธีกรรมการมากกว่าจะระเบิดเสียงดังในคืนเดียวจากนี้ไปในตอนถัดไปเราจะเรียบเรียงลำดับเหตุการที่ตรวจสอบได้วางหมุดเวลาและความหมายของมันแล้วค่อยพาผู้ชมก้าวสู่การอ่านพระราชประสงค์และวิสัยทัศน์ของสถาบันอย่างเป็นระบบเพื่อให้ทุกการตีความตั้งอยู่บนฐานที่รับผิดชอบต่อความจริงและความรู้สึกของผู้คนเพราะในเรื่องราวของสถาบันไม่มีใครเป็นเพียงผู้เฝ้ามองทุกคนล้วนเป็นเจ้าของความ ทรงจำร่วมที่กำลังเขียนต่อหน้าต่อตาก่อนที่เราจะตีความความหมายเชิงสัญลักษณ์จำเป็นต้องวางรากฐานของข้อเท็จจริงให้มั่นคงเสียก่อนเรื่องราวของเจ้าคุณพระศินีนาถพิราชกัลยาณีหมายเหตุสำหรับการอ้างอิงเชิงเวลาในเอกสารก่อนการปรับการสะกดพระนามมีการเขียนว่านาตะมิได้ดำเนินไปตามเส้นตรงหากแต่เป็นเส้นโค้งที่ผ่านจังหวะของการสถาสถาปนาการเว้นวรรคการเยียวยาและการนิยามใหม่ความเข้าใจต่อจังหวะเหล่านี้จะทำให้เรามองเห็นทั้งตัวบทของราชพิธีและพลังอ่อนของการสื่อสาร สาธารณะซึ่งแทรกซึมอยู่ในความทรงจำร่วมของสังคมฉากแรกเริ่มขึ้นในห้วงเวลาหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกไม่นานเมื่อมีพระบรมราชโองการสถาปนาให้ท่านผู้หญิงผู้หนึ่งก้าวเข้าสู่ฐานันดรเจ้าคุณพระจารึกไว้ด้วยสุพรรณบัตตาตามโบราณราชประเพณีนับเป็นวรรคแรกที่นิยามตัวตนในพิธีทำอย่างชัดเจนจากท่านผู้หญิงสู่เจ้าคุณพระแปลว่าไม่เพียงเพิ่มเกียรติยศหากยังชี้แนวทางบทบาทในฐานะผู้ร่วมประคับประคองระเบียบพิธีและภารกิจสาธานที่อาศัยความไว้วางพระ ราชหฤไทัยการสถาปนานี้เปรียบเสมือนการวางหมุดหลักที่ปลายสะพานให้คนทั้งสังคมรู้ว่ามีผู้รับบทปรากฏตัวขึ้นในระบบความหมายของราชสำนักฉากถัดมาเกิดขึ้นรวดเร็วและหนักแน่นดุจเสียง ้องเมื่อมีพระบรมราชโองการประกาศให้พ้นจากตำแหน่งถอดฐานันดรศักดิ์เรียกคืนยศทหารและเครื่องราชอิสริยาภรณ์วรรคตอนนี้เป็นการเว้นวรรคใหญ่ที่ทำให้เส้นเรื่องหยุดหายใจชั่วครู่สังคมไม่ได้เพียงอ่านข่าวหากอ่านความหมายว่าในระบบพิธีที่มีตักกทรัพย์ซ้อนการยุติสถานะ อย่างเป็นทางการคือถ้อยคำชนิดหนึ่งที่สื่อสารให้เห็นมาตรฐานและระเบียบของสถาบันจังหวะแห่งการเว้นวรรคจึงมิใช่สุนยากาศหากเป็นพื้นที่นิ่งที่รอการตัดสินของเวลาแล้วเวลาเองก็พาเรื่องราวเดินหน้าต่อเมื่อมีพระบรมราชโองการขึ้นฐานันดอนศักดิ์โดยให้ถือเสมือนว่าไม่เคยถูกถอดถอนมาก่อนนี่คือวรรคของการเยียวยาและต่อเรื่องตัวบททางพิธีทำเย็บรอยต่อให้เนียนไปกับเนื้อผ้าเดิมจนความต่อเนื่องกลับมามีรูปทรงอีกครั้งในเชิงสังคมศาสตร์นี่คือการซ้อมเสียงของสถาบัน 00:09:58เพื่อประกาศเจตนารมณ์ว่าเรื่องเล่าไม่ได้จบลงที่การเว้นวรรคหากยังมีการหายใจต่ออย่างสงบและมีแบบแผนเมื่อผู้ชมเห็นเจ้าคุณพระปรากฏพระองค์ในพระราชกรณียกิจอีกครั้งภาพนั้นจึงไม่ใช่เพียงการกลับมาหากเป็นสัญญาณว่าบทพูดของเรื่องได้เริ่มบรรเลงท่อนต่อไปแล้ววรรคสำคัญอีกประการหนึ่งคือการขอให้ชื่อใหม่อันเป็นการปรับการสะกดพระนามจากที่เคยคุ้นสู่รูปแบบเจ้าคุณพระศินีนาถพิราฎกัลยาณีการปรับถ้อยคำในระดับพระนามมิใช่เพียงเทคนิคภาษาหากเป็นสถาปัตยกรรมของ ความหมายที่ชี้แสงไฟยังคุณลักษณะและคุณธรรมที่สังคมควรมองเห็นการเรียกขานที่เป็นทางการทำหน้าที่เหมือนกรอบทองของภาพวาดทำให้ผู้ชมรับรู้เจตนาที่อยากเน้นและความงามที่อยากย้ำเมื่อพระนามได้รับการนิยามใหม่ก็เหมือนเราได้เลนสะอาดขึ้นสำหรับอ่านบทต่อไปหากมองทั้ง4วรรคนี้เป็นเส้นเดียวกันเราจะเห็นรูปทรงที่ชัดเจนของเรื่องเล่าในพิธีธรรมเริ่มจากการนิยามต่อด้วยการเว้นวรรคตามด้วยการเยียวยาและปิดด้วยการนิยามชื่ออย่างประหนิเส้นนี้บอก เราว่าราชสำนักไม่ได้สื่อสารด้วยเสียงดังเพียงคราวเดียวแต่สื่อสารด้วยลมหายใจยาวที่แบ่งเป็นห้วงและจังหวะแต่ละจังหวะมีเอกสารรองรับมีพิธีการรองรับและมีภาพจำสาธารณะรองรับเมื่อทั้ง3ชั้นซ้อนทับกันความเชื่อถือของเรื่องจึงสูงขึ้นและเปิดพื้นที่ให้การตีความเชิงสัญลักษณ์ทำงานได้โดยไม่ละทิ้งฐานข้อเท็จจริงในเชิงภาษาพิธีเราเห็นการขยับจากตำแหน่งสู่บทบาทอย่างค่อยเป็นค่อยไปตำแหน่งคือภาพที่ปรากฏบนกระดาษบทบาทคือแรงดึงดูดที่สังคม รู้สึกได้ผ่านการจัดวางท่วงท่าและภารกิจที่สัมผัสชีวิตผู้คนเมื่อเจ้าคุณพระศินีนาถพิราฎกัลยาณีปรากฏพระองค์ในพระราชพิธีสำคัญหรือภารกิจอุปถัมภ์ภาษากายของพิธีกรรมเช่นตำแหน่งยืนลำดับขบวนการเว้นวรรคของสายตาล้วนเป็นตัวอักษรในบทที่ไม่มีคำพูดสิ่งเหล่าเหล่านี้ค่อยๆเรียบเรียงบทบาทเชิงหน้าที่ให้ปรากฏเด่นขึ้นโดยไม่ต้องประกาศในเชิงจิตวิทยาสาธารณะการเว้นวรรคใหญ่และการเยียวยาในเวลาต่อมาทำให้ผู้คนเดินทางจากความตระหนกสู่ความ คุ้นชินและจากความคุ้นชินสู่การตีความใหม่ความรู้สึกของสังคมจึงขยับจากคำถามเกิดอะไรขึ้นไปสู่คำถามจะไปทางไหนเมื่อคำถามหลังเริ่มดังขึ้นนั่นคือสัญญาณว่าเรื่องเล่าได้เข้าสู่เฟสของวิสัยทัศน์ไม่ใช่เพียงข่าวเหตุการณ์เมื่อมองผ่านเลนนี้ภาพของเจ้าคุณพระศินีนาถพิราฎกัลยาณีจึงทำหน้าที่เหมือนกระจกที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกับยุคสมัยว่าจะวางสมดุลระหว่างประเพณีกับโลกสมัยใหม่อย่างไรในเชิงยุทธศาสตร์การสื่อสารธารณะวรรค แรกทำหน้าที่นิยามวรรคที่2แสดงขอบเขตของระเบียบวรรคที่3ซ่อมแซมความต่อเนื่องและวรรคสุดท้ายจัดวางถ้อยคำเพื่อเน้นคุณลักษณะเมื่อทั้ง4วรรคถูกเรียบเรียงเข้าด้วยกันเส้นทางสู่บทบาทที่ถูกคิดใหม่ในตอนถัดไปจึงเปิดโล่งเราจะสามารถสนทนาเรื่องบทบาทที่เป็นไปได้อย่างมีหลักยึดทั้งในฐานะเสาหลักงานพระราชพิธีแกนกลางงานอุปถัมภ์หรือสะพานเชื่อมระหว่างสถาบันกับสังคมร่วมสมัยโดยไม่หลุดจากกรอบข้อเท็จจริงและความละเอียดอ่อนของราชาศัพท์ดังนั้นตอนนี้จึงทำหน้าที่เป็น แผนที่และเข็มทิศในคราวเดียวกันแผนที่สำหรับระบุหมุดเวลาที่ตรวจสอบได้เข็มทิศสำหรับชี้ทิศทางการอ่านในเชิงความหมายเมื่อเราถือทั้ง2ชิ้นไว้ในมือพร้อมความตระหนักว่าพิธีการคือบทกวีที่เขียนด้วยเวลาเราจึงพร้อมจะก้าวสู่บทที่ว่าด้วยพระราชประสงค์และวิสัยทัศน์ในตอนหน้าเพื่อดูว่าภาษาของเอกสารภาษาของพิธีและภาษาของสังคมจะบรรเลงเป็นทำนองเดียวกันอย่างไรเมื่อเราเรียงหมดเวลาชัดเจนแล้วภาษาแห่งพิธีธรรมก็เริ่มเปล่งเสียงให้ตีความได้ เป็นระบบพระราชประสงค์มิได้ถูกประกาศด้วยวลีตรงไปตรงมาเสมอไปหากซ่อนอยู่ในจังหวะการสถาปนาการเว้นวรรคการคืนฐานันดรและการนิยามพระนามใหม่จังหวะเหล่านี้คือภาษารัฐพิธีที่สื่อสารทิศทางอันละเอียดอ่อนของสถาบันและทั้งหมดนี้ชิให้เห็นภาพรวมว่ามีความมุ่งหมายในการเย็บรอยต่ออดีตกับปัจจุบันให้กลมกลืนโดยรักษาแก่นกลางของประเพณีฮิตและพร้อมเปิดพื้นที่สำหรับบทบาทร่วมสมัยของเจ้าคุณพระศินีนาถพิราฎกัลยาณีหากมองผ่านเลนสถาบันเราเห็นตรรก ชั้นที่ทำงานประสานกันชั้นแรกคือตัวบทในเอกสารราชการซึ่งให้กรอบกฎหมายและการรับรองสถานภาพชั้นที่2คือพิธีธรรมที่จัดวางตำแหน่งเวลาลำดับและมารยาทเพื่อสื่อระดับความไว้วางพระราชหฤทัยชั้นที่3คือภาพสาธารณะซึ่งเกิดจากการปรากฏพระองค์ในพระราชกรณียกิจและงานอุปถัมภ์ที่จับต้องได้3ชั้นนี้เมื่อซ้อนทัพกันย่อมสะท้อนวิสัยทัศน์ที่เป็นรูปธรรมนั่นคือการให้ความสำคัญกับความต่อเนื่องความสมดุลและความหวังอำนาจที่ยั่งยืนคืออำนาจที่แปรรูปเป็นความไว้วางใจ ถ้อยคำนี้เหมาะจะเป็นเข็มทิศอ่านพระราชประสงค์ในห้วงเวลาเช่นนี้ความต่อเนื่องปรากฏผ่านถ้อยคำทางเอกสารที่ให้ถือเสมือนว่าไม่เคยมีช่วงถอดถอนมาก่อนผลลัพธ์เชิงสัญลักษณ์คือเรื่องเล่ากลับสู่เนื้อเดียวไม่เกิดรอยประทีที่ทำลายความทรงจำร่วมของสังคมความสมดุลสะท้อนในพิธีทำการขยับจากตำแหน่งไปสู่บทบาทอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่เร่งเร้าแต่หนักแน่นยืนยันกันว่าความเปลี่ยนแปลงในราชสำนักมักเดินด้วยจังหวะยาวในขณะที่ความหวังถูกกว้างผ่านการนิยามพระนามอย่าง ประณีตซึ่งทำหน้าที่เป็นกรอบความหมายใหม่ให้สังคมมองเห็นคุณลักษณะเชิงคุณธรรมและภารกิจทางสังคมที่สอดคล้องยุคสมัยเมื่อใช้กรอบนี้อ่านเราจะเห็นทิศทางของบทบาทที่พระราชประสงค์อาจให้ความสำคัญไม่ใช่บทบาทที่ยึดกับตำแหน่งทางกฎหมายเพียงอย่างเดียวแต่เป็นบทบาทเชิงหน้าที่ที่มีพลังอ่อนสูงกล่าวคือบทบาทที่เชื่อมระหว่างรัดพิธีกับความรู้สึกของผู้คนผ่านงานอุปถัมภ์งานสังคมและพื้นที่สื่อสารที่เข้าถึงประชาชนหัวใจของพิธีคือการทำให้ คุณค่ามองเห็นหากคุณค่าที่ต้องการเน้นคือความต่อเนื่องความเมตตาและความร่วมสมัยบทบาทของเจ้าคุณพระศินีนาถพิราชกัลยาณีย่อมถูกออกแบบให้เป็นสื่อกลางที่ทำให้คุณค่าเหล่านี้ปรากฏอย่างสุภาพและคงเสถียรอย่างไรก็ดีการอ่านพระราชประสงค์จำเป็นต้องแยกแยะระหว่างสิ่งที่เอกสารระบุชัดกับในเชิงพิธีเราไม่อาจสรุปความตั้งใจด้วยถ้อยคำเด็ดขาดแต่สามารถเสนอกรอบตีความที่รับผิดชอบต่อข้อเท็จจริงได้ตัวอย่างเช่นหากพระราชประสงค์มุ่งเน้นการ ประคับประคองทุนสัญลักษณ์ของสถาบันบทบาทที่เหมาะสมย่อมเป็นงานที่สร้างความคุ้นชินอันอ่อนโยนการปรากฏพระองค์ในรัฐพิธีซึ่งมีในย้ำความกลมกลืนของลำดับชั้นการสนับสนุนกิจกรรมอุปถัมภ์ด้านวัฒนธรรมสุขภาวะหรือการพัฒนาชุมชนที่ประชาชนสัมผัสได้จริงสิ่งเหล่านี้มิใช่งานประกาศก้องหากเป็นงานหายใจยาวที่เพิ่มความไว้วางใจทีละน้อยในระดับจิตวิทยาสาธารณะพระราชประสงค์ที่วางบทบาทแนวนี้เปรียบเสมือนการวางสะพาน2ชั้นบนคือภาษาแห่งพิธีที่ …

เผยด้านมืดของ “บทบาทใหม่”: เมื่อบทบาทใหม่ของ เจ้าคุณพระสินีนาถ กลายเป็นแรงกดดัน Read More

ธนาคารกรุงไทย ประกาศยุติให้บริการแอปพลิเคชัน เป๋าตุง แนะรีบย้ายแอปทันที

วันที่ 24 ต.ค. 2568 ธนาคารกรุงไทย ประกาศผ่านเว็บไซต์ ธนาคารกรุงไทย ระบุว่า ธนาคารขอแจ้งให้ท่านทราบว่าแอปพลิเคชัน เป๋าตุง จะยุติการให้บริการในเร็ว ๆ นี้ ท่านจะไม่สามารถเข้าใช้งานระบบหรือติดต่อทำรายการผ่านแอปพลิเคชันได้อีกต่อไป เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกรรมและรับชำระเงินได้อย่างต่อเนื่อง ลูกค้าธนาคารมีความสะดวก ปลอดภัย และทันสมัยในการใช้งานมากกว่าเดิม ขอให้ท่านทำการย้ายไปใช้งานแอปพลิเคชัน ถุงเงิน แทนในทันที โดยท่านสามารถดำเนินการย้ายไปใช้งานได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากมีข้อสงสัยท่านสามารถติดต่อสาขาใกล้บ้านหรือสอบถามโทร 02-111-1111 ขออภัยในความไม่สะดวก และขอขอบคุณที่ให้การสนับสนุน เป๋าตุง ด้วยดีเสมอมา

ธนาคารกรุงไทย ประกาศยุติให้บริการแอปพลิเคชัน เป๋าตุง แนะรีบย้ายแอปทันที Read More

ในหลวงรัชกาลที่ 10 ขอเชิญทุกพระองค์ร่วมลงนามถวายพระพรการเสด็จกลับมาของเจ้าหญิงพัชรกิติยาภา

คมพุธศักราช2567สำนักพระราชวังขอเชิญชวนประชาชนร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิตติยาภานเรนทิราเทพยวรางกูร[เพลง]วันที่7ธันวาคมพุธศักราช2567ผ่านระบบออนไลน์์ที่เว็บไซต์หน่วยราชการในพระองค์www.royal.comอธิบดีผู้พิพากษาภาค5แม่ทัพภาคที่3ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค5พร้อมข้าราชการและประชาชนชาวจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จก่อนประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัตพระราชกรณยกิจณ อุทยานหลวงราชพฤกษ์และจากนั้นเวลา17:45นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมชินีเสด็จพระราชดำเนินถึงยังอุทยานหลวงราชพฤกษ์ทรงเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติจากการพัฒนาทางเลือกมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับการพัฒนาทางเลือกเพื่อรับมือการท้าทายทุกประเด็นของโลกซึ่งมูลนิธิโครงการหลวงจัดขึ้นระหว่างวันที่1-4ธันวาคม2567เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์นายกกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิโครงการหลวง เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระพรรษา6รอบ28กรกฎาคม2567และเพื่อประกาศผลสำเร็จของการพัฒนาในการแก้ไขปัญหาความยากจนความหิวโหยและปัญหายาเสพติดโดยแนวการพัฒนาทางเลือกแบบโครงการหลวงตลอดจนให้ผู้เข้าประชุมได้ร่วมกันวิเคราะห์แลกเปลี่ยนเรียนรู้แบ่งปันประสบการณ์จากบทเรียนความสำเร็จระดมความคิดเห็นต่อการพัฒนาทางเลือกของประเทศไทยที่ตอบสนองความท้าทายของโลกปัจจุบันและอนาคตสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืขององ์การสหประชาชาติรวมทั้งเพื่อ สร้างพันธมิตรและเครือข่ายความร่วมมือทั้งในประเทศและต่างประเทศในทุกมิติโดยมีผู้เชี่ยวชาญนักวิชาการผู้ปฏิบัติงานและองค์การระหว่างประเทศจาก29ประเทศและจากหน่วยงานการพัฒนาทางเลือกบนพื้นที่สูงต่างๆภายในประเทศจำนวน450คนเข้าร่วมงานอาธิราชอาณาจักรภูตาสหพันธสาธารณรัฐเยอรมนีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวสหรัฐอเมริการวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมรับฟังผ่านระบบออนไลน์ซึ่งผลการประชุมครั้งนี้จะนำไปเสนอและเผยแพร่ในการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติดของ สหประชาชาติหรือCNสมัยที่68โดยจะจัดขึ้นณกรุงเวียนนาสาธารณรัฐออสเตรียในเดือนมีนาคม2568และโอกาสนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสเปิดการประชุมขอแสดงความชื่นชมกับทุกคนทุกฝ่ายที่ได้ร่วมกันดำเนินงานโครงการหลวงมาด้วยดีสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรที่ได้ทรงก่อตั้งโครงการนี้ขึ้นเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่สูงรวมทั้งแก้ไขปัญหายาเสพติดสิ่งแวดล้อมและความยากจนอาจจะส่งผลให้ประเทศชาติและ ประชาชนทุกคนมีความสุขความเจริญโดยถ้วนหน้าโครงการหลวงจึงเป็นโครงการที่สำคัญเพราะการพัฒนาที่สมดุลทั้งในด้านเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อมนั้นย่อมก่อให้เกิดประโยชน์กว้างขวางด้านทุกด้านทุกระดับนับเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงหวังว่าการประชุมครั้งนี้จะอำนวยประโยชน์แก่การพัฒนางานพัฒนาทั้งในประเทศและต่างประเทศให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเพื่อความผาสุขมั่นคงของมนต์มนุษยชาติตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งสหประชาชาติได้ตั้งความหวังไว้และจากนั้นทอดพระเนตรนิทรรศการผลสัมฤทธิ์การพัฒนาพื้นที่สูงของประเทศไทยสู่ความท้าทายโลกแบ่งเป็น5ส่วนประกอบด้วยปฐมบทการพัฒนาทางเลือกที่ยั่งยืนพระราชปณิธานช่วยชาวเขาช่วยชาวเราช่วยชาวโลกสืบสานพระราชปณิธานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนการขับเคลื่อนการขยายผลบนพลังความร่วมมือเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง55ปีองค์ความรู้และนวัตกรรมนำการพัฒนาประสานเส้นทางความสำเร็จจากอ่างค้างสู่เลตที่ล้วนก่อให้เกิดประโยชน์แก่ราษฎร โดยเฉพาะชาวไทยภูเขาที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและได้ขยายผลการพัฒนาไปยังประเทศต่างๆทั่วโลกเพื่อให้สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติซึ่งจะทำให้ประเทศไทยและนานาประเทศสามารถเดินทางไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนหรือsdgทั้ง17ข้อ

ในหลวงรัชกาลที่ 10 ขอเชิญทุกพระองค์ร่วมลงนามถวายพระพรการเสด็จกลับมาของเจ้าหญิงพัชรกิติยาภา Read More