ยามสนทยาคลี่คลุมกำแพงพระราชวังแสงสุดท้ายของวัลละลียบตริมหลังคาเครื่องยอดจนเกิดประกายวาวับราวเกล็ดดาวเสียงระฆังปลายยามค่อยๆทอดยาวดั่งลมหายใจของประวัติศาสตร์ค่ำคืนนี้เราจะไม่เร่งสรุปไม่รีบตัดสินหากเพียงค่อยๆเปิดม่านให้สายตาของผู้ชมคุ้นชินกับความมืดสลัวที่ซ่อนรายละเอียดไว้มากมายเพราะบางครั้งเรื่องราวสำคัญไม่ได้เริ่มจากเสียงอื้อแต่เริ่มจากความเงียบที่ยืนยาวความจริงมักเริ่มต้นด้วยเสียงกระซิบนักปราชญ์คนหนึ่งกล่าว ไว้เช่นนั้นและบ่อยครั้งกระซิบเล็กๆเหล่านั้นเองที่กระเพื่อมไปถึงหัวใจของสถาบันชื่อของเจ้าคุณพระศินีนาฏตะพิราฎกัลยาณีปรากฏขึ้นอีกครั้งท่ามกลางกระแสตีความมากมายในสังคมไทยบ้างเรียกสิ่งนี้ว่าการกลับมาบ้างเพียงมองว่าเป็นการเคลื่อนตัวของสัญลักษณ์ในระบบพิธีการละเอียดอ่อนแต่ไม่ว่าคำอธิบายใดจะชนะใจผู้คนในชั่วขณะความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือความสนใจของสาธารณะกำลังจับจ้องอยู่ที่ความเป็นไปได้ของบทบาทใหม่บทบาทที่อาจมิใช่เพียง ตำแหน่งหากเป็นฟังก์ชันทางสังคมเป็นสะพานที่เชื่อมพิธีทำกับสายทานความรู้สึกของผู้คนในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเพื่อไม่ให้เรื่องเล่าหลงทางเราขอวางกรอบการเล่าที่เคารพต่อข้อเท็จจริงพร้อมพื้นที่สำหรับการไตร่ตรองเชิงสัญลักษณ์เราจะตั้งคำถามแทนคำตอบเราจะพาผู้ชมอ่านข้อความของกาลเวลาแทนการชี้นิ้วไปยังบทสรุปเฉียบพลันเพราะราชสำนักดำเนินไปไม่ต่างจากจักรวาลนับก้าวด้วยฤดูกาลและพิธีการดวงดาวเคลื่อนช้าแต่มั่นคงพิธีกรรม เคลื่อนละเอียดแต่ทรงความหมายสิ่งที่เปลี่ยนช้าใช่ว่าจะไม่เปลี่ยนและการรับรู้ของสังคมก็เช่นกันคำถามแรกที่ต้องถามคือนี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงตำแหน่งหรือเชิงบทบาทตำแหน่งเป็นภาพที่ค้นเห็นได้ในเอกสารหรือพิธีการส่วนบทบาทคือพลังเงียบที่ซึมลงไปในความทรงจำร่วมของสังคมหากตำแหน่งบอกเราว่าใครยืนตรงไหนบทบาทก็บล็อกกว่าเขายืนไปเพื่ออะไรและในเวลาที่ใดการพิจารณาบทบาทของเจ้าคุณพระศินีน่าจะจึงไม่ได้หยุดอยู่ตรงคำเรียกขานหากต้อง มองผ่านภาษากายของพิธีการผ่านลำดับชั้นที่มีตักกับของมันเองผ่านการจัดวางในงานพระราชพิธีผ่านจังหวะปรากฏและเว้นวรรคซึ่งทั้งหมดนี้อาจเป็นถ้อยคำที่สถาบันใช้สนทนากับประชาชนถัดมาเราต้องถามถึงบริบทของยุคสมัยสังคมไทยในห้วงเวลาปัจจุบันมีความหวังและความกังวลที่ทับซ้อนกันผู้คนแสวงหาเสถียรภาพทางความรู้สึกไม่แพ้เสถียรภาพทางการเมืองยิ่งโลกหมุนเร็วเสียงที่เรียกร้องความหมายก็ยิ่งดังบทบาทใหม่ใดๆในสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งไม่ได้มีผลเพียงต่อพิธี การแต่ยังสะเทือนมิติทางวัฒนธรรมและจิตวิทยาสาธารณะเมื่อภาพหนึ่งภาพที่ผ่านการออกแบบอย่างประณีตสามารถปลอบประโลมหรือกระตุกใจผู้คนนับล้านเราจึงต้องอ่านภาพเหล่านั้นอย่างรอบคอบอ่านการวางองค์ประกอบอ่านสายตาและท่วงท่าที่บอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสถาบันในอีกมิติหนึ่งการกลับมาของชื่อหนึ่งชื่อในพงศาวดารร่วมสมัยย่อมทำให้ผู้คนถกเถียงบางเสียงโอนเอียงไปสู่ความโรแมนติกของชะตารมบางเสียงระมัดระวังต่อการคาดเดาทั้งสองเสียงสำคัญเท่ากันเพราะช่วยถ่วง ระหว่างความหวังกับเหตุผลระหว่างความคาดหมายกับวินัยของข้อเท็จจริงเราเลือกเดินบนเส้นได้ระหว่าง2ฝั่งนี้อย่างตั้งใจเปิดพื้นที่ให้ความเป็นไปได้แต่ไม่ทิ้งเข็มทิศของข้อมูลที่ตรวจสอบได้ค่าน้ำหนักของคำพูดจึงไม่อยู่ที่เสียงดังหรือเบาแต่อยู่ที่ความซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่รู้จริงและสิ่งที่ยังเป็นเพียงในเพื่อให้การรับชมในตอนต่อไปมีหลักยึดร่วมกันขอชวนผู้ชมตั้งสมมติฐานเบื้องต้นประการแรกหากสถาบันต้องการสื่อสารความต่อ เนื่องบทบาทใหม่จะถูกออกแบบให้ขับเน้นความกลมกลืนไม่ใช่การตัดตอนประการที่2หากสถาบันต้องการสื่อสารการปรับตัวบทบาทใหม่จะเปิดทางให้เกิดการเชื่อมสะพานระหว่างประเพณีกับสังคมร่วมสมัยผ่านงานอุปถัมภ์หรือภารกิจเฉพาะทางที่สัมผัสได้จริงประการที่3หากต้องการสื่อสารความหวังบทบาทใหม่จะปรากฏควบคู่สัญลักษณ์ที่อ่านง่ายและจับใจเช่นสีสันดอกไม้เครื่องราชูโพกหรือการจัดวางที่บ่งชี้การโอบรับของพิธีธรรมสมมติฐานทั้ง3มิใช่ข้อสรุปหาก เป็นเลนให้เราดูพัฒนาการต่อไปด้วยสติท่ามกลางเลนเหล่านี้เจ้าคุณพระศินีน่าจะถูกอ่านในฐานะภาพสะท้อนของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสถาบันเราอาจเห็นความเงียบที่เป็นภาษาหนึ่งเห็นการเว้นวรรคที่เป็นน้ำเสียงหนึ่งเห็นการปรากฏที่ไม่ต้องประกาศแต่มีความหมายนี่คือความงามแบบราชพิธีที่ไม่เร่งเร้าแต่สลักซ้อนด้วยชั้นเชิงพิธีการคือบทกวีที่เขียนด้วยกาลเวลาถ้อยคำนี้ช่วยเตือนใจว่าสิ่งที่เราเห็นในขณะหนึ่งมักเชื่อมโยงกับเส้นยาวของ อดีตและทิศทางของอนาคตเสมอการเล่าของเราจึงจะดำเนินต่อไปด้วยจังหวะของเรื่องจริงที่ยืนยันได้สลับกับการตีความเชิงสัญลักษณ์เราจะยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่มีบันทึกสาธารณะรองรับเพื่อเป็นหมุดยึดและใช้ถ้อยคำเปรียบเทียบเพื่อเปิดช่องทางความคิดเพราะผู้ชมไม่ได้ต้องการเพียงคำตอบแต่ต้องการภาษาที่จะอธิบายความรู้สึกของตนเองต่อภาพที่เห็นหากบทบาทใหม่เกิดขึ้นจริงมันจะไม่ใช่เพียงการมอบหมายหากเป็นพิธีกรรมทางความทรงจำร่วมที่ทำให้ผู้ คนตีความความหมายของการอยู่ร่วมกันระหว่างสถาบันกับสังคมในโลกยุคใหม่ท้ายที่สุดของตอนนี้เราขอทิ้งคำถามหนึ่งไว้ให้คิดเมื่อเสียงกระซิบเริ่มดังขึ้นเป็นเสียงพูดคุยเราจะวัดน้ำหนักของมันอย่างไรในโลกที่ข่าวสารหลั่งไหลและการตีความเร็วกว่าเอกสารการยืนอยู่ฝั่งของความเคารพต่อข้อเท็จจริงอาจดูเชื่องช้าแต่ความช้าดังกล่าวคือความแข็งแรงของเรื่องเล่าที่จะคงอยู่สิ่งที่ยืนยาวมักเดินช้าและบทบาทที่ยืนยาวก็เช่นกันหากมีการเปลี่ยนผ่านเกิด ขึ้นจริงมันจะโคจรเข้าที่อย่างสงบและหนักแน่นด้วยภาษาแห่งพิธีกรรมการมากกว่าจะระเบิดเสียงดังในคืนเดียวจากนี้ไปในตอนถัดไปเราจะเรียบเรียงลำดับเหตุการที่ตรวจสอบได้วางหมุดเวลาและความหมายของมันแล้วค่อยพาผู้ชมก้าวสู่การอ่านพระราชประสงค์และวิสัยทัศน์ของสถาบันอย่างเป็นระบบเพื่อให้ทุกการตีความตั้งอยู่บนฐานที่รับผิดชอบต่อความจริงและความรู้สึกของผู้คนเพราะในเรื่องราวของสถาบันไม่มีใครเป็นเพียงผู้เฝ้ามองทุกคนล้วนเป็นเจ้าของความ ทรงจำร่วมที่กำลังเขียนต่อหน้าต่อตาก่อนที่เราจะตีความความหมายเชิงสัญลักษณ์จำเป็นต้องวางรากฐานของข้อเท็จจริงให้มั่นคงเสียก่อนเรื่องราวของเจ้าคุณพระศินีนาถพิราชกัลยาณีหมายเหตุสำหรับการอ้างอิงเชิงเวลาในเอกสารก่อนการปรับการสะกดพระนามมีการเขียนว่านาตะมิได้ดำเนินไปตามเส้นตรงหากแต่เป็นเส้นโค้งที่ผ่านจังหวะของการสถาสถาปนาการเว้นวรรคการเยียวยาและการนิยามใหม่ความเข้าใจต่อจังหวะเหล่านี้จะทำให้เรามองเห็นทั้งตัวบทของราชพิธีและพลังอ่อนของการสื่อสาร สาธารณะซึ่งแทรกซึมอยู่ในความทรงจำร่วมของสังคมฉากแรกเริ่มขึ้นในห้วงเวลาหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกไม่นานเมื่อมีพระบรมราชโองการสถาปนาให้ท่านผู้หญิงผู้หนึ่งก้าวเข้าสู่ฐานันดรเจ้าคุณพระจารึกไว้ด้วยสุพรรณบัตตาตามโบราณราชประเพณีนับเป็นวรรคแรกที่นิยามตัวตนในพิธีทำอย่างชัดเจนจากท่านผู้หญิงสู่เจ้าคุณพระแปลว่าไม่เพียงเพิ่มเกียรติยศหากยังชี้แนวทางบทบาทในฐานะผู้ร่วมประคับประคองระเบียบพิธีและภารกิจสาธานที่อาศัยความไว้วางพระ ราชหฤไทัยการสถาปนานี้เปรียบเสมือนการวางหมุดหลักที่ปลายสะพานให้คนทั้งสังคมรู้ว่ามีผู้รับบทปรากฏตัวขึ้นในระบบความหมายของราชสำนักฉากถัดมาเกิดขึ้นรวดเร็วและหนักแน่นดุจเสียง ้องเมื่อมีพระบรมราชโองการประกาศให้พ้นจากตำแหน่งถอดฐานันดรศักดิ์เรียกคืนยศทหารและเครื่องราชอิสริยาภรณ์วรรคตอนนี้เป็นการเว้นวรรคใหญ่ที่ทำให้เส้นเรื่องหยุดหายใจชั่วครู่สังคมไม่ได้เพียงอ่านข่าวหากอ่านความหมายว่าในระบบพิธีที่มีตักกทรัพย์ซ้อนการยุติสถานะ อย่างเป็นทางการคือถ้อยคำชนิดหนึ่งที่สื่อสารให้เห็นมาตรฐานและระเบียบของสถาบันจังหวะแห่งการเว้นวรรคจึงมิใช่สุนยากาศหากเป็นพื้นที่นิ่งที่รอการตัดสินของเวลาแล้วเวลาเองก็พาเรื่องราวเดินหน้าต่อเมื่อมีพระบรมราชโองการขึ้นฐานันดอนศักดิ์โดยให้ถือเสมือนว่าไม่เคยถูกถอดถอนมาก่อนนี่คือวรรคของการเยียวยาและต่อเรื่องตัวบททางพิธีทำเย็บรอยต่อให้เนียนไปกับเนื้อผ้าเดิมจนความต่อเนื่องกลับมามีรูปทรงอีกครั้งในเชิงสังคมศาสตร์นี่คือการซ้อมเสียงของสถาบัน 00:09:58เพื่อประกาศเจตนารมณ์ว่าเรื่องเล่าไม่ได้จบลงที่การเว้นวรรคหากยังมีการหายใจต่ออย่างสงบและมีแบบแผนเมื่อผู้ชมเห็นเจ้าคุณพระปรากฏพระองค์ในพระราชกรณียกิจอีกครั้งภาพนั้นจึงไม่ใช่เพียงการกลับมาหากเป็นสัญญาณว่าบทพูดของเรื่องได้เริ่มบรรเลงท่อนต่อไปแล้ววรรคสำคัญอีกประการหนึ่งคือการขอให้ชื่อใหม่อันเป็นการปรับการสะกดพระนามจากที่เคยคุ้นสู่รูปแบบเจ้าคุณพระศินีนาถพิราฎกัลยาณีการปรับถ้อยคำในระดับพระนามมิใช่เพียงเทคนิคภาษาหากเป็นสถาปัตยกรรมของ ความหมายที่ชี้แสงไฟยังคุณลักษณะและคุณธรรมที่สังคมควรมองเห็นการเรียกขานที่เป็นทางการทำหน้าที่เหมือนกรอบทองของภาพวาดทำให้ผู้ชมรับรู้เจตนาที่อยากเน้นและความงามที่อยากย้ำเมื่อพระนามได้รับการนิยามใหม่ก็เหมือนเราได้เลนสะอาดขึ้นสำหรับอ่านบทต่อไปหากมองทั้ง4วรรคนี้เป็นเส้นเดียวกันเราจะเห็นรูปทรงที่ชัดเจนของเรื่องเล่าในพิธีธรรมเริ่มจากการนิยามต่อด้วยการเว้นวรรคตามด้วยการเยียวยาและปิดด้วยการนิยามชื่ออย่างประหนิเส้นนี้บอก เราว่าราชสำนักไม่ได้สื่อสารด้วยเสียงดังเพียงคราวเดียวแต่สื่อสารด้วยลมหายใจยาวที่แบ่งเป็นห้วงและจังหวะแต่ละจังหวะมีเอกสารรองรับมีพิธีการรองรับและมีภาพจำสาธารณะรองรับเมื่อทั้ง3ชั้นซ้อนทับกันความเชื่อถือของเรื่องจึงสูงขึ้นและเปิดพื้นที่ให้การตีความเชิงสัญลักษณ์ทำงานได้โดยไม่ละทิ้งฐานข้อเท็จจริงในเชิงภาษาพิธีเราเห็นการขยับจากตำแหน่งสู่บทบาทอย่างค่อยเป็นค่อยไปตำแหน่งคือภาพที่ปรากฏบนกระดาษบทบาทคือแรงดึงดูดที่สังคม รู้สึกได้ผ่านการจัดวางท่วงท่าและภารกิจที่สัมผัสชีวิตผู้คนเมื่อเจ้าคุณพระศินีนาถพิราฎกัลยาณีปรากฏพระองค์ในพระราชพิธีสำคัญหรือภารกิจอุปถัมภ์ภาษากายของพิธีกรรมเช่นตำแหน่งยืนลำดับขบวนการเว้นวรรคของสายตาล้วนเป็นตัวอักษรในบทที่ไม่มีคำพูดสิ่งเหล่าเหล่านี้ค่อยๆเรียบเรียงบทบาทเชิงหน้าที่ให้ปรากฏเด่นขึ้นโดยไม่ต้องประกาศในเชิงจิตวิทยาสาธารณะการเว้นวรรคใหญ่และการเยียวยาในเวลาต่อมาทำให้ผู้คนเดินทางจากความตระหนกสู่ความ คุ้นชินและจากความคุ้นชินสู่การตีความใหม่ความรู้สึกของสังคมจึงขยับจากคำถามเกิดอะไรขึ้นไปสู่คำถามจะไปทางไหนเมื่อคำถามหลังเริ่มดังขึ้นนั่นคือสัญญาณว่าเรื่องเล่าได้เข้าสู่เฟสของวิสัยทัศน์ไม่ใช่เพียงข่าวเหตุการณ์เมื่อมองผ่านเลนนี้ภาพของเจ้าคุณพระศินีนาถพิราฎกัลยาณีจึงทำหน้าที่เหมือนกระจกที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกับยุคสมัยว่าจะวางสมดุลระหว่างประเพณีกับโลกสมัยใหม่อย่างไรในเชิงยุทธศาสตร์การสื่อสารธารณะวรรค แรกทำหน้าที่นิยามวรรคที่2แสดงขอบเขตของระเบียบวรรคที่3ซ่อมแซมความต่อเนื่องและวรรคสุดท้ายจัดวางถ้อยคำเพื่อเน้นคุณลักษณะเมื่อทั้ง4วรรคถูกเรียบเรียงเข้าด้วยกันเส้นทางสู่บทบาทที่ถูกคิดใหม่ในตอนถัดไปจึงเปิดโล่งเราจะสามารถสนทนาเรื่องบทบาทที่เป็นไปได้อย่างมีหลักยึดทั้งในฐานะเสาหลักงานพระราชพิธีแกนกลางงานอุปถัมภ์หรือสะพานเชื่อมระหว่างสถาบันกับสังคมร่วมสมัยโดยไม่หลุดจากกรอบข้อเท็จจริงและความละเอียดอ่อนของราชาศัพท์ดังนั้นตอนนี้จึงทำหน้าที่เป็น แผนที่และเข็มทิศในคราวเดียวกันแผนที่สำหรับระบุหมุดเวลาที่ตรวจสอบได้เข็มทิศสำหรับชี้ทิศทางการอ่านในเชิงความหมายเมื่อเราถือทั้ง2ชิ้นไว้ในมือพร้อมความตระหนักว่าพิธีการคือบทกวีที่เขียนด้วยเวลาเราจึงพร้อมจะก้าวสู่บทที่ว่าด้วยพระราชประสงค์และวิสัยทัศน์ในตอนหน้าเพื่อดูว่าภาษาของเอกสารภาษาของพิธีและภาษาของสังคมจะบรรเลงเป็นทำนองเดียวกันอย่างไรเมื่อเราเรียงหมดเวลาชัดเจนแล้วภาษาแห่งพิธีธรรมก็เริ่มเปล่งเสียงให้ตีความได้ เป็นระบบพระราชประสงค์มิได้ถูกประกาศด้วยวลีตรงไปตรงมาเสมอไปหากซ่อนอยู่ในจังหวะการสถาปนาการเว้นวรรคการคืนฐานันดรและการนิยามพระนามใหม่จังหวะเหล่านี้คือภาษารัฐพิธีที่สื่อสารทิศทางอันละเอียดอ่อนของสถาบันและทั้งหมดนี้ชิให้เห็นภาพรวมว่ามีความมุ่งหมายในการเย็บรอยต่ออดีตกับปัจจุบันให้กลมกลืนโดยรักษาแก่นกลางของประเพณีฮิตและพร้อมเปิดพื้นที่สำหรับบทบาทร่วมสมัยของเจ้าคุณพระศินีนาถพิราฎกัลยาณีหากมองผ่านเลนสถาบันเราเห็นตรรก ชั้นที่ทำงานประสานกันชั้นแรกคือตัวบทในเอกสารราชการซึ่งให้กรอบกฎหมายและการรับรองสถานภาพชั้นที่2คือพิธีธรรมที่จัดวางตำแหน่งเวลาลำดับและมารยาทเพื่อสื่อระดับความไว้วางพระราชหฤทัยชั้นที่3คือภาพสาธารณะซึ่งเกิดจากการปรากฏพระองค์ในพระราชกรณียกิจและงานอุปถัมภ์ที่จับต้องได้3ชั้นนี้เมื่อซ้อนทัพกันย่อมสะท้อนวิสัยทัศน์ที่เป็นรูปธรรมนั่นคือการให้ความสำคัญกับความต่อเนื่องความสมดุลและความหวังอำนาจที่ยั่งยืนคืออำนาจที่แปรรูปเป็นความไว้วางใจ ถ้อยคำนี้เหมาะจะเป็นเข็มทิศอ่านพระราชประสงค์ในห้วงเวลาเช่นนี้ความต่อเนื่องปรากฏผ่านถ้อยคำทางเอกสารที่ให้ถือเสมือนว่าไม่เคยมีช่วงถอดถอนมาก่อนผลลัพธ์เชิงสัญลักษณ์คือเรื่องเล่ากลับสู่เนื้อเดียวไม่เกิดรอยประทีที่ทำลายความทรงจำร่วมของสังคมความสมดุลสะท้อนในพิธีทำการขยับจากตำแหน่งไปสู่บทบาทอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่เร่งเร้าแต่หนักแน่นยืนยันกันว่าความเปลี่ยนแปลงในราชสำนักมักเดินด้วยจังหวะยาวในขณะที่ความหวังถูกกว้างผ่านการนิยามพระนามอย่าง ประณีตซึ่งทำหน้าที่เป็นกรอบความหมายใหม่ให้สังคมมองเห็นคุณลักษณะเชิงคุณธรรมและภารกิจทางสังคมที่สอดคล้องยุคสมัยเมื่อใช้กรอบนี้อ่านเราจะเห็นทิศทางของบทบาทที่พระราชประสงค์อาจให้ความสำคัญไม่ใช่บทบาทที่ยึดกับตำแหน่งทางกฎหมายเพียงอย่างเดียวแต่เป็นบทบาทเชิงหน้าที่ที่มีพลังอ่อนสูงกล่าวคือบทบาทที่เชื่อมระหว่างรัดพิธีกับความรู้สึกของผู้คนผ่านงานอุปถัมภ์งานสังคมและพื้นที่สื่อสารที่เข้าถึงประชาชนหัวใจของพิธีคือการทำให้ คุณค่ามองเห็นหากคุณค่าที่ต้องการเน้นคือความต่อเนื่องความเมตตาและความร่วมสมัยบทบาทของเจ้าคุณพระศินีนาถพิราชกัลยาณีย่อมถูกออกแบบให้เป็นสื่อกลางที่ทำให้คุณค่าเหล่านี้ปรากฏอย่างสุภาพและคงเสถียรอย่างไรก็ดีการอ่านพระราชประสงค์จำเป็นต้องแยกแยะระหว่างสิ่งที่เอกสารระบุชัดกับในเชิงพิธีเราไม่อาจสรุปความตั้งใจด้วยถ้อยคำเด็ดขาดแต่สามารถเสนอกรอบตีความที่รับผิดชอบต่อข้อเท็จจริงได้ตัวอย่างเช่นหากพระราชประสงค์มุ่งเน้นการ ประคับประคองทุนสัญลักษณ์ของสถาบันบทบาทที่เหมาะสมย่อมเป็นงานที่สร้างความคุ้นชินอันอ่อนโยนการปรากฏพระองค์ในรัฐพิธีซึ่งมีในย้ำความกลมกลืนของลำดับชั้นการสนับสนุนกิจกรรมอุปถัมภ์ด้านวัฒนธรรมสุขภาวะหรือการพัฒนาชุมชนที่ประชาชนสัมผัสได้จริงสิ่งเหล่านี้มิใช่งานประกาศก้องหากเป็นงานหายใจยาวที่เพิ่มความไว้วางใจทีละน้อยในระดับจิตวิทยาสาธารณะพระราชประสงค์ที่วางบทบาทแนวนี้เปรียบเสมือนการวางสะพาน2ชั้นบนคือภาษาแห่งพิธีที่ …
เผยด้านมืดของ “บทบาทใหม่”: เมื่อบทบาทใหม่ของ เจ้าคุณพระสินีนาถ กลายเป็นแรงกดดัน Read More